สำหรับคนทำงานแล้ว ช่วงเที่ยงเรามีเวลาไม่มาก แต่ถ้าหากอยากให้มื้ออาหารเป็นสิ่งจรรโลงใจบ้างหลังจากที่เราคร่ำเคร่งกับหน้าจอคอมฯมาหลายชั่วโมงแล้ว วันนี้เราจะพาไปลองเซ็ตอาหารกลางวัน Express Lunch Menu ของร้าน Madison ที่โรงแรม Anantara Siam Bangkok ซึ่งมาพร้อมคุณภาพ วัตถุดิบ และบริการที่ดีเยี่ยม ทำให้เรารู้สึกอย่างกับได้ไฟน์ไดนิ่งในมื้อกลางวันแบบรวบรัดและไม่เยิ่นเย้อ

ร้าน Madison Restaurant ชั้น 1 โรงแรมอนันตราสยามกรุงเทพฯ เป็นร้านแนะนำสำหรับชาวออฟฟิศที่อยู่ในย่านสีลม สาทร สามารถแวะไปทานตอนพักเที่ยงได้สบาย ที่นี่เป็นร้านอาหารสไตล์ Steakhouse ที่มีความเก่าแก่ เปิดคู่กับโรงแรมมายาวนาน ในช่วงค่ำจะเสิร์ฟอาหารจานเดี่ยวสุดพิถีพิถันสมกับคุณภาพของโรงแรม 5 ดาว พร้อมบรรยากาศสุดโรแมนติก ส่วนในช่วงกลางวันจะมีเมนูเซ็ตอาหาร ที่มีถึง 3 แบบให้เลือก ตั้งแต่เซ็ตเล็ก – กลาง – ใหญ่ โดยเริ่มต้นที่ 945 บาท ++ ซึ่งแค่เซ็ตเริ่มต้นนี้ ก็มีเมนูจานเนื้อและซีฟู้ดสด ๆ ซุป ขนมปัง ที่ตักได้แบบบุฟเฟต์ ถือว่าคุ้มค่ามากและอิ่มจุใจแน่นอน
บอกเลยว่าบทความนี้ไม่มีสปอนเซอร์ และเราก็เลือกเซ็ตอาหารกลางวันแบบเซ็ตใหญ่ จึงสามารถรีวิวได้อย่างครบถ้วน ตามมาดูบรรยากาศร้าน และรีวิวอาหารแบบละเอียด ๆ จานต่อจานกันได้เลย
เซ็ตอาหารกลางวัน (Express Lunch Menu) มีทั้งหมด 3 แบบให้เลือก
1. One Course – Salad Buffet (945 บาท ++) : เลือกรับประทานอาหารจากสลัดบาร์อย่างเดียว ซึ่งก็มีเมนูหลากหลาย ทั้งเนื้อสัตว์นานาชนิด ซุป สลัด ขนมปัง ชีสหลากชนิด และพาสต้า
2. Two Course – Choice of a main course (1,045 บาท ++) : รับประทานอาหารจากสลัดบาร์ และเลือก Main course 1 อย่าง ซึ่งเป็นสเต็กเนื้อต่าง ๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ ปลา
3. Three Course – Choice of a main course and a dessert (1,095 บาท ++) : รับประทานอาหารจากสลัดบาร์ เลือก Main course 1 อย่าง และ ของหวาน 1 อย่าง
บรรยากาศในร้านเรียบหรู มีดอกไม้สดประดับบนโต๊ะให้ความสดชื่น การตกแต่งให้อารมณ์ร่วมสมัยผสมผสานความคลาสสิก มีทั้งโต๊ะใกล้สลัดบาร์ มุมโต๊ะแบบโซฟา และแบบริมหน้าต่างติดสวน พร้อมพนักงานบริการอย่างทั่วถึง
ก่อนจะเริ่มตักอาหารที่สลัดบาร์ พนักงานจะมาเสิร์ฟขนมปังร้อน ๆ กรอบนอก นุ่มใน พร้อมเนยรสจืด ซึ่งทุกอย่างขอเพิ่มได้ตลอด ขนมปังด้านซ้ายที่มีสีเขียว ๆ คือ Garlic bread ซึ่งหอมและเค็มกำลังพอดี ส่วนทางขวาคือขนมปังบรีออช (Brioche) ที่หอมกรุ่น
ที่ชอบมากคือ Corn dip หรือ ดิปข้าวโพด ทางด้านซ้าย เอาไว้ทากับขนมปัง กลิ่นข้าวโพดชัดเจนมาก เนื้อสัมผัสเบา ๆ แบบมูส เค็มหอมมันครบรส แบบซุปข้าวโพดอร่อย ๆ เลย
ที่มุมสลัดบาร์ มีเมนูหลายอย่าง ซึ่ง Caprese Salad หรือ สลัดมะเขือเทศย่างกับชีสมอซซาเรลลา ถือว่าทำได้ดีทีเดียว เมนูต่าง ๆ ที่สลัดบาร์มีความหลากหลาย นำมาตั้งทีละปริมาณไม่มาก โดยเชฟจะทำออกมาใหม่เพื่อเติมอยู่เสมอ ทำให้อาหารมีความสด น่ารับประทาน
กุ้งต้มของที่นี่ดีงามมาก เนื้อเด้ง กรอบ แน่น สด แกะเปลือกให้ทั้งตัว ต้มมาแบบสุกพอดี ๆ คนชอบกุ้งรับรองต้องชอบ ตักได้ไม่อั้น สำหรับใครที่เลือกทานสลัดบาร์เพียงอย่างเดียว แค่ตักกุ้งไปกิน ก็ฟินแล้วค่ะ
ที่นี่ยังเอาใจลูกค้าคนไทย ด้วยนำ้จิ้มซีฟู้ดจัดจ้าน หรือจะเป็น lemon ฝานสดที่มีให้ลูกค้า บีบลงบนเนื้อกุ้งฉ่ำ ๆ สไตล์ฝรั่งก็ได้รสชาติไปอีกแบบ
Beef salad เนื้อวัวหั่นแบบลูกเต๋า เนื้อนุ่มหอม ให้ความรู้สึกถึงเนื้อชั้นดีที่มาพร้อมนำ้สลัดและผัก ทำออกมาได้อร่อยและลงตัวมาก
Chicken Salad คือสิ่งที่ให้ความว้าว เมื่อกัดลงบนเนื้อไก่คำแรกก็สัมผัสได้ถึงความนุ่ม ไร้มันของอกไก่ เนื้อชุ่มฉ่ำไม่แห้ง เสริมด้วยรสชาติละมุนของซอสที่เข้ากันลงตัวเป็นที่สุด
วันที่เราไปที่นี่เป็นวันพุธ ซุปประจำวันคือ ซุปเห็ด ซึ่งเขานำเห็ดไปปั่นละเอียด ไม่ได้มีเนื้อเห็ดในซุป โดยทั่วไปเวลารับประทานซุปครีมเห็ดไปเยอะ ๆ จะรู้สึกเลี่ยน แต่ของที่นี่ไม่เป็นเลย ซุปไม่หนืดข้น หรือได้กลิ่นนมจนเกินไป กลิ่นของเห็ดชัดเจน ถ้าใครชอบโรยพริกไทยดำป่นด้านบน สามารถเรียกพนักงานให้มาป่นสด ๆ ที่โต๊ะได้เลย
มุมผักสลัด นำมาวางปริมาณไม่มาก เพื่อไม่ให้ผักโดนอากาศจนเสียรสชาติ โดยพนักงานจะคอยนำมาเติมให้ตลอด ส่วนในขวดโหลด้านขวา ยังมีผลไม้อบแห้งไว้โรยบนสลัด หรือจะตักไปทานเล่นเปล่า ๆ ก็ได้
ชีสหลากหลายชนิด ทานพร้อมแครกเกอร์หรือผลไม้อบแห้ง หรือจะทานเปล่า ๆ ก็ได้รสชาติแท้ ๆ จากวัตถุดิบชั้นดี
ที่พิเศษและหาได้ยากจากสลัดบาร์ตามร้านอาหารอื่น ๆ คือ ปูนิ่มอันแสนกรอบอร่อย ไม่อมน้ำมัน สามารถนำไปวางบนสลัด หรือทานเล่นก็ดีทั้งนั้น
เมื่อเราเพลิดเพลินกับเมนูบนสลัดบาร์สักพักแล้ว พนักงานจะมาถามว่าให้เสิร์ฟ Main course เมื่อไร และแจ้งให้ทราบว่าจะพร้อมเสิร์ฟภายในกี่นาที วันนี้มากัน 2 คน จึงสามารถรีวิว Main course ได้ 2 จานเลยค่ะ
Main course นี้คือ Grilled Lamb Chops (300 กรัม) ซี่โครงแกะย่าง ราดซอสพร้อมครีมเปรี้ยว พริกระฆัง และพริกไทยดำ สามารถเลือกความสุกของเนื้อแกะได้ แนะนำให้สั่งแบบ medium rare เพื่อที่เนื้อจะได้นุ่มชุ่มฉ่ำ และได้รสชาติหวานจากเนื้ออย่างเต็มที่
เมนูนี้เสิร์ฟพร้อม Mint sauce ที่เหมือนเจลลี่สีเขียว ๆ รสชาติสดชื่น ตัดเลี่ยน และลดกลิ่นสาบของเนื้อแกะได้ดี แต่ขอบอกว่า ร้านนี้ทำเนื้อแกะได้ดีจนเมื่อรับประทานเปล่าๆ ก็ไม่ได้กลิ่นสาบนะคะ ส่วนซอสอีก 2 อย่างคือ มัสตาร์ด และมัสตาร์ดแบบมีเม็ด สำหรับสเต็กเนื้อค่ะ
Main course นี้คือ Grilled Beef Tenderloin (300 กรัม) สเต็กเนื้อสันใน ที่สั่งความสุกของเนื้อแบบ Medium rare เช่นกัน รับประทานพร้อมกับมันฝรั่ง ซอสครีมสีเขียวที่ทำจากสมุนไพรนานาชนิดที่ให้รสหวานละมุน และหัวหอมใหญ่ผัดรสชาติเข้มข้นถึงเนื้อใน จานนี้ถือว่าทำได้ดีมากจนอยากจะเคี้ยวช้าๆ เพื่อลิ้มรสความหอมหวานของเนื้ออันนุ่มชุ่มฉ่ำ และกลิ่นย่างไฟ แค่เนื้ออย่างเดียว ไม่ต้องไปผสมกับซอสก็อร่อยแล้ว เพราะเนื้อได้ผ่านการหมักมา มีรสชาติเค็มนิดๆ ในตัวเอง
ระดับความสุกแบบ Medium rare ของร้านนี้ จะทำออกมาลักษณะนี้ค่ะ นุ่มและหวานทีเดียว มีความแดงของเนื้ออยู่ชัดเจน บางส่วนที่ใช้มีดหั่นจะยังมีเลือดปนนิดหน่อยนะ
เมื่อลิ้มรสอย่างถูกปากถูกใจกับ Main course ไปแล้ว พนักงานจะเข้ามาถามถึงเมนูชาและกาแฟที่จะเสิร์ฟพร้อมขนมหวาน คนละ 1 แก้ว ซึ่งก็สั่งได้หมด ไม่ว่าจะเป็นแบบ Americano, Cappuccino, Latte หรือจะเป็นชามินต์ อู่หลง ชาดำ ชาเขียว ชามัทฉะ มีสารพัดให้เลือก
ในที่นี้เราเลือกชามินต์แบรนด์ Dilmah แบบ tea bag และ กาแฟดำ Americano
ในเมื่อมากัน 2 คน เราก็จะได้ของหวาน 2 อย่าง จานนี้คือ Bitter Chocolate Cake เสิร์ฟพร้อม Crispy Nougatine Tuile และ ไอศกรีมวานิลลา เนื้อเค้กหวานไม่มาก กำลังพอดีทีเดียว แต่อาจจะรู้สึกแห้งเล็กน้อย และความเข้มข้นของรสช็อกโกแลตยังไม่เข้มข้นมากเท่าไร ส่วนไอศกรีมวานิลลาอร่อยมาก
ของหวานจานนี้คือ Deconstructed Red Velvet Cake เสิร์ฟพร้อม Crispy Chocolate Tuile และ Raspberry Coulis จานนี้ขอชมว่าตัวเนื้อเค้กหอมสดชื่นมาก เสริมด้วยซอสกลิ่นเบอร์รี่ก็ยิ่งฟินเข้าไปอีก ทานพร้อมชาหรือกาแฟที่มีรสขม ตัดกับรสหวานจากเค้ก นับเป็นการตบท้ายมื้ออาหารอย่างสมบูรณ์ พร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่ายแบบมีความสุขจริง ๆ ค่ะ
Opening hours
Breakfast: 6.00 am – 10.30 am
Lunch: 12.00 noon – 2.30 pm
Dinner: 6.00 pm – 10.30 pm
Sunday Brunch: 11.30 am – 3.00 pm madison.asia@anantara.com +66 2 126 8866
Text&Photos by Achima