Home Escape เที่ยวไปในโลกของนักเขียนชาวไต้หวัน Jimmy Liao ที่ไทเป-อี้หลาน-จ้าวชี่

เที่ยวไปในโลกของนักเขียนชาวไต้หวัน Jimmy Liao ที่ไทเป-อี้หลาน-จ้าวชี่

10256845314413.jpg

ก่อนไปไต้หวัน ฉันสั่งซื้อหนังสือมา 1 เล่มจากสำนักพิมพ์ a book ชื่อว่า “หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ” เป็นหนังสือแปลจากเรื่อง “To Read or Not to Read. That is My Question” งานของจิมมี่ เลียว (Jimmy Liao) ศิลปินชาวไต้หวัน เขาเป็นทั้งนักเขียน นักวาดภาพประกอบ และก็นักเล่าเรื่องที่โด่งดังมากๆ แปลเป็นไทยโดยวีรนาถ โชติพันธุ์

สั่งซื้อไปทางเว็บของ a book หนังสือมาส่งถึงบ้านเลย แต่ดันมาถึงในวันที่ต้องสะสางงานอันยุ่งเหยิงและก็จัดกระเป๋าเดินทางจนดึกดื่น เลยคิดว่าพกเล่มนี้ไปไต้หวันด้วยซะเลย เพราะชอบเวลาที่อยู่บนเครื่องบินและไม่มีอินเตอร์เน็ต นั่นแหละเวลาที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการอ่านหนังสือของฉัน

จิมมี่ เลียวมีแฟนหนังสือและแฟนผลงานวาดเขียนอยู่เยอะแยะมาก หลายคนแม้ไม่ใช่แฟนหนังสือตัวยง แต่ถ้าเอ่ยชื่อหนังสือ ‘ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา’ ก็ต้องเคยได้ยินมาบ้างล่ะ ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบทั้งเรื่องราวและมุมมองของเขา รวมทั้งลายเส้นและสีสันสดใสชวนให้จินตนาการ มันดึงมุมเด็กๆ ที่อยู่ในตัวเราออกมาได้มากทีเดียว และสีสันที่ละมุนๆ ไม่จัดจ้านเกินไป ฉันว่ามันทำให้เรานึกถึงแต่เรื่องดีๆ และแง่มุมดีๆ ของทุกสิ่งทุกอย่าง

คนไต้หวันเรียกจิมมี่ว่า “จี๋หมี่” หรือชื่อจีนคือ เหลียว ฝู ปิน (廖福彬) เขาเรียนจบจาก Chinese Culture University และทำงานกับบริษัทโฆษณามาก่อนผันตัวเองมาเป็นนักวาดภาพประกอบให้กับสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ และออกหนังสือภาพเป็นของตัวเองจนได้รับความนิยมถึงขั้นได้รางวัลมากมาย แต่ว่าในช่วงหลังเขาป่วยเป็นลูคิเมีย หรือมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เขาจึงใช้การวาดรูปเป็นเหมือนการบำบัดและการให้กำลังใจตนเอง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การปล่อยให้ภาพเป็นตัวเล่าเรื่อง และมีตัวหนังสืออยู่นิดหน่อย (เหมาะกับสไตล์การอ่านหนังสือน้อยบรรทัดของผู้คนสมัยนี้เลย)

งานของเขาถูกนำไปแปลในหลายภาษา แล้วยังไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์อีกด้วย เอาเป็นว่าคนไต้หวันแทบไม่มีใครไม่รู้จักจิมมี่ เลียว เพียงแต่ว่าเวลาถามเขา ให้ออกเสียงว่า “จี๋หมี่” หรือ “เหลียว ฝู ปิน” ก็แล้วกัน

ภายในสถานีรถไฟใต้ดิน Nangang ในไทเป

เราได้ยินมาเยอะมากว่าไทเปในระยะไม่กี่ปีให้หลังมานี้ เรื่องศิลปะและงานดีไซน์เขาล้ำเลิศมาก มีดีไซเนอร์และศิลปินหน้าใหม่มากมาย มีแบรนด์ดีไซน์ใหม่ๆ เกิดขึ้น แล้วก็มีแกลเลอรี่เยอะมาก ยิ่งกว่านั้นเขายังทำพื้นที่สาธารณะหลายแห่งให้เป็นที่จัดแสดงงานศิลปะไปในตัว หนึ่งในนั้นคือสถานีรถไฟใต้ดินนานกัง (Nangang) สายสีน้ำเงิน ด้านในสถานีตกแต่งด้วยผลงานภาพวาดของคุณจิมมี่ เลียว นี่แหละ ทำให้บรรยากาศดูน่ารัก เหมือนเรากำลังจะนั่งรถไฟในโลกการ์ตูนเลย

สถานีนานกังนี่นอกจากเป็น MRT หรือรถไฟใต้ดินแล้ว ก็ยังเป็นสถานีรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย ใครจะนั่งไปต่างจังหวัด มาขึ้นที่นี่ได้ ทั้งยังมีช็อปปิ้งมอลล์เล็กๆ ใครมาแวะดูงานของจิมมี่ที่นี่แล้ว ขึ้นไปหาของกินและเดินเล่นต่อได้

อ่านเที่ยวไทเป

งานของจิมมี่ยังไม่จบแค่นี้ ส่วนใหญ่ถ้าคนเที่ยวในไทเปมักจะไปตามงานของเขากันที่รถบัสซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ กับแลนด์มาร์คอย่างตึกไทเป 101 โดยเป็นรถบัสที่เอามาดัดแปลงด้านในรถให้เหมือนถอดออกมาจากหนังสือที่ชื่อว่า “When The Moon Forgot” หลายๆ คนเรียกว่ารถบัสพระจันทร์

แต่สำหรับเรามีแพลนว่าจะออกไปเที่ยวชมธรรมชาติที่นอกเมือง ก็เลยไม่ได้แวะดูรถบัสคันนี้ เรามุ่งหน้าไปหางานของจิมมี่ที่นอกเมืองไทเปกันดีกว่า

เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสที่สถานี Taipei City Hall

อี้หลาน (Yilan) คือชื่อเมืองที่เรากำลังพูดถึงค่ะ เดินทางจากไทเปได้สะดวกมากๆ ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว แนะนำให้นั่งรถบัสมากกว่ารถไฟ เพราะมีรอบรถถี่มาก ราคาถูกกว่า แล้วก็ถึงเร็วกว่าด้วย จากสถานีรถไฟใต้ดิน Taipei City Hall เดินตามป้าย Bus ไปเลยค่ะไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้าด้วย แถมจ่ายด้วยบัตร Easy Card ได้อีกต่างหาก (Easy Card คือบัตรเดินทางในไต้หวัน คล้ายๆ บัตรแรบบิทบ้านเราแต่ใช้ได้กับทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ และซื้อของในร้านสะดวกซื้อ)

สำหรับใครไม่มีบัตร Easy Card สามารถเดินไปซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์กับพนักงานหรือเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ แต่ถ้าใครมีบัตรอยู่แล้ว เดินตรงไปที่ชานชาลาเบอร์ 15 เลย เขาจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ก็คือ 1571 รถแบบ Express ตรงไปอี้หลานเลย ไม่แวะที่ไหน เราขึ้นคันนี้ ราคา 131 NT (1 ดอลลาร์ไต้หวัน = 1 บาท) แต่สำหรับ 1572 จะจอดที่เมือง Jiaoxi และ Luodong ด้วย พอพนักงานเรียกขึ้นรถ เราก็ tap บัตร Easy Card ก่อนขึ้นรถได้เลย สะดวกจิงๆ อ่ะ

บรรยากาศบนรถบัส สะอาด นั่งสบาย เบาะกว้างกว่าเครื่องบินอีก
ใต้เบาะมีปลั๊กให้ชาร์จแบตมือถือด้วย อย่าลืมเอา adapter มาล่ะ

ขนาดวันเสาร์รถติดๆ ฉันก็ยังมาถึงเมืองอี้หลานได้ภายในหนึ่งชั่วโมงนิดๆ รถบัสจะจอดที่ด้านหลังสถานีรถไฟ Yilan Station เราต้องเดินอ้อมไปที่ด้านหน้าของสถานี  แล้วก็จะพบกับ Jimmy Park

ทีนี้ล่ะ ไม่ใช่แค่ภาพวาด แต่เหล่าตัวละครและสิ่งของต่างๆ จากในหนังสือของจิมมี่ จะได้ออกมานั่งมายืนอยู่จริงๆ เช่น หนังสือ “The Starry Starry Night” (เป็นเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาด The Starry Night ของแวน โก๊ะห์ และนำไปสร้างเป็นหนังมาแล้ว), “A Chance of Sunshine” (ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา) และ “Sound of Colors” (ในใจไกลกว่าสายตา)

ไม่ใช่แค่เด็กๆ นะคะที่ตื่นเต้น ฉันได้เห็นว่าผู้ใหญ่หลายคน แม้กระทั่งผู้สูงอายุ ก็ดูเอนจอยกับการตามถ่ายรูปกับจุดนั้นจุดนี้ในงานของจิมมี่ ดูแล้วก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย

หน้าสถานีรถไฟ Yilan Station ก็ตกแต่งด้วยภาพวาดของ Jimmy Liao

ที่ตัวสถานีรถไฟอี้หลานเอง ก็เพนต์งานของจิมมี่อยู่ที่ด้านหน้าสถานีเลย ถามว่าทำไมที่อี้หลานถึงมีงานของจิมมี่เยอะแยะขนาดนี้ ก็เพราะเป็นบ้านเกิดของเขานี่เองล่ะ

ถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ฉันเข้าไปในสถานีรถไฟอี้หลาน เพื่อซื้อตั๋วรถไฟไปเมืองใกล้ๆ อย่าง จ้าวชี่ (Jiaoxi) เมืองตากอากาศใกล้ไทเปที่มีทั้งน้ำตกและขึ้นชื่อเรื่องบ่อน้ำแร่มากๆ ราคาตั๋วรถไฟแค่ 23 NT (23 บาท) แล้วก็ใช้เวลาแค่ 6 นาทีเท่านั้น! ถูกเว่อร์ๆ

ตั๋วรถไฟจากอี้หลานไปจ้าวชี่ ระบุเลขขบวนรถและหมายเลขที่นั่ง

พอเดินออกจากสถานีรถไฟจ้าวชี่มานะคะ จะเห็นป้ายรถเมล์เล็กๆ เราสามารถรอรถเมล์สาย 111 ที่นั่น เพื่อไปน้ำตก Wufengchi ได้เลย แต่ฉันขี้เกียจรอเพราะมีเวลาไม่เยอะ ก็เลยเรียกแท็กซี่ไปส่งให้ถึงชั้นสูงสุดของน้ำตกเลย ประเด็นคือขี้เกียจเดินด้วยล่ะ ราคาประมาณ 160 NT ก็ถือว่าไม่แย่น้า แลกกับการไม่ต้องเดินจากชั้นล่างสุดของน้ำตกขึ้นมาอ่ะ

ด้านหน้าทางเข้าน้ำตก

คนขับแท็กซี่พูดอังกฤษไม่ได้เลยค่ะ แต่เราก็ใช้ภาษามือ บวกกับเปิดภาพเปิดไรให้ดู ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของน้ำตก Wufengchi แล้ว เย้!

จากจุดจอดรถ เราต้องเดินขึ้นบันไดต่ออยู่ดี แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยเกินไป หากเทียบกับการเดินขึ้นมาเองจากจุดจอดรถเมล์ อันนั้นเหนื่อยกว่าแน่นอน

ระหว่างทางเดินก็จะมีลำธารน้อยใหญ่ ชุ่มชื่นร่มรื่นสุดๆ แถมนักท่องเที่ยวไม่เยอะด้วย

ขากลับถ้าหากอยากประหยัดตังค์ ก็เดินกลับลงไปที่จุดจอดรถเมล์ด้านล่าง ค่อยๆ ลงบันไดไปนะ ยังไงเดินลงก็ไม่เหนื่อยเท่าเดินขึ้นหรอก 55++

ขากลับให้ขึ้นสาย 11 แต่รอบรถจะไม่ได้ถี่มาก รอบสุดท้ายคือ 5 โมงเย็น ยังไงเที่ยวก็อย่าลืมดูเวลากันด้วยนะ

ชั้นล่างสุดของน้ำตก Wufengchi แถวบริเวณที่รอรถบัสกลับไปยังในเมือง Jiaoxi

จากป้ายรถบัส Wufengchi Scenic Area เรานั่งมาลงที่ป้าย Jiaoxi Hot Spring Park เพื่อแช่น้ำแร่ก่อนกลับไทเป ค่ารถแค่ 20 NT เด้ออ และความสะดวกสุดๆ ก็คือ พาร์คบ่อน้ำแร่นี้อยู่ติดกับสถานีรถบัส Jiaoxi Bus Station เลย แช่เสร็จก็เดินไปขึ้นรถกลับไทเปได้อย่างสบายใจ

Jioaxi Hot Spring Park

สำหรับบ่อออนเซ็นร้อนๆ ด้านใน คิดราคา 80 NT ต่อคน แต่ที่ด้านนอกก็ยังมีบ่อแบบเอาท์ดอร์ที่ให้ใส่ชุดว่ายน้ำลงไปแช่ และติดกันก็มีสระว่ายน้ำด้วย เป็นลู่ว่ายกันจริงจังเหมือนสำหรับนักกีฬาเลย ซึ่งเมื่อมองไป จะเห็นแต่ผู้สูงอายุซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าสระว่ายน้ำนี้ไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่เป็นน้ำแร่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

จบแล้วค่ะเดย์ทริป Yilan – Jioaxi วันนี้ ได้ทั้งถ่ายรูปกับงานของนักเขียนคนโปรด เล่นน้ำตก แล้วก็แช่บ่อน้ำแร่เพื่อสุขภาพด้วย ถือว่าครบและไม่อัดแน่นเกินไปสำหรับหนึ่งวัน แต่ถ้าใครมีแรงเหลือ อยากจะไปเดิน Night Market หาของกินอร่อยๆ ต่อ ก็นั่งรถไฟไปที่ Luodong ได้เลย มันเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กันหมดเลยค่ะ

ส่วนฉันขึ้นไปหลับบนรถบัส เก็บแรงไว้วันรุ่งขึ้นเดินสำรวจย่านอาร์ตในไทเปต่อดีกว่า อ้อ! ลืมบอก ฉันอ่านหนังสือแปลของจิมมี่ เลียว จบแล้ว และนั่นทำให้ฉันรู้สึกแฮปปี้มากกับการใช้หนังสือเป็นเพื่อนในทริปนี้ แม้จะเที่ยวคนเดียว และไม่ซื้อซิมอินเตอร์เน็ตด้วย แต่ก็ไม่เหงาเลย

นักเขียน/นักดนตรี ที่นอกจากเล่นเชลโลแล้ว ยังชอบออกเดินทางคนเดียวอยู่เสมอๆ มิวเซียม ตลาดของเก่า ร้านกาแฟ และเมืองที่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมเก่าแก่คือสถานที่ที่เธอชอบไป

Exit mobile version