ถึงแม้ว่าการเที่ยวแบบลุยๆ จะสนุกและก็น่าจดจำดี แต่บางทีการได้เปลี่ยนบรรยากาศมาเลือกที่พักแบบหรูๆ บ้างก็ทำให้รู้ว่ามันช่วยอำนวยความสะดวกและก็ออมแรงในการออกเที่ยวของเราได้มากทีเดียว
Shinta Mani Angkor – Bensley Collection คือที่พักที่ทำให้การมาเที่ยวเสียมเรียบ กัมพูชา ของเราในครั้งนี้ รู้สึกเหมือนโดนสปอยล์ตลอดเวลา รู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุดในบรรดาโรงแรม/รีสอร์ทที่เราเคยไปพักมาทั่วโลกเลย (อันนี้ไม่ได้เวอร์นะ พูดจิงๆ)
ชื่อโรงแรม ในภาษาไทยจะออกเสียงว่าจินดามณี (ชื่อเหมือนแบบเรียนภาษาไทย) มีความหมายว่า แก้วสารพัดนึก แบบขออะไรก็ได้อย่างที่ใจคิดไปหมด ซึ่งเราคิดว่าตลอดเวลาการเข้าพักที่นี่ อารมณ์ความรู้สึกก็ประมาณนี้เลย
Shinta Mani Hotel คือโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่มาเปิดที่เสียมเรียบเมื่อปลายปี 2017 แบ่งเป็น Shinta Mani Shack ซึ่งเป็นบูติกโฮเต็ลเก๋ๆ กับ Shinta Mani Angkor ซึ่งเป็นวิลล่าแบบลักชัวรี่ มีเพียง 10 หลังเท่านั้น แต่ละหลังก็จะมีบัตเลอร์ หรือผู้ช่วยประจำตัว ไว้คอยบริการกันแบบ Personalize สุดๆ แน่นอนสิว่าเรามาพักที่ Shinta Mani Angkor
ที่ต้องต่อท้ายว่า Bensley Collection ก็หมายถึงว่าที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ได้รับการออกแบบโดย Bill Bensley สถาปนิกชื่อดังที่ออกแบบลักชัวรี่โฮเต็ลมาแล้วกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เรื่องดีไซน์และความสวยงามจึงไม่ต้องพูดถึง เห็นได้ตั้งแต่ล็อบบี้ เรื่อยมาจนถึงกำแพงทางเดิน งานศิลปะที่นำมาตกแต่งประดับประดา มาจนถึงกลอนประตูหน้าห้อง ถอดแบบแขมร์โบราณมาเปี๊ยบ ถึงแม้ว่าจะเปิดปิดยากไปนิด แต่ก็ได้ฟีลดีไง
การถูกสปอยล์เริ่มต้นตั้งแต่ที่สนามบินเลยค่ะ สำหรับแขกเข้าพัก Shinta Mani Angkor จะสามารถผ่านตม.ด้วยเลนพิเศษ (fast track) ซึ่งไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องปะปนกับใคร จะมีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมมาถือป้ายชื่อรอรับเรา เมื่อให้เอกสารการเดินทางกับเขาไป ก็จะไปจัดการทุกอย่างให้เอง เราเดินตัวลอยชิลๆ ผ่านไปแบบไม่ต้องสนทนาอะไรกับตม.เลย เมื่อไปรับกระเป๋าที่สายพานเสร็จ เดินออกไปด้านนอก คนแรกที่เราจะเจอก็คือบัตเลอร์ประจำตัวที่มายืนรอรับ กล่าวคำทักทาย และเอาสัมภาระทั้งหมดไปช่วยถือให้
ไม่ใช่แค่บัตเลอร์นะที่รู้จักชื่อเราและออกเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่เมื่อรถไปจอดที่โถงต้อนรับของโรงแรม พนักงานที่มารอต้อนรับทุกคนก็เอ่ยทักทายและเรียกชื่อเราอย่างมั่นใจ ซึ่งเขาก็จะเรียกชื่อเราแบบนี้ทุกครั้งที่เจอเราตลอดการเข้าพัก ไม่ว่าจะที่ห้องอาหาร หรือส่วนไหนของโรงแรมก็ตาม อันนี้สร้างความรู้สึกที่ดีระหว่างแขกกับพนักงานมากๆ
เข้ามาดูห้องพักกันดีกว่า ภายในวิลล่าหรูนี้ เปิดเข้ามาก็จะเจอสระว่ายน้ำเล็กๆ อยู่ด้านข้างเลย รายรอบไปด้วยต้นไม้สูงๆ ปกคลุม สร้างบรรยากาศความเป็นทรอปิคัลฟอเรสต์แล้วก็ชวนให้นึกถึงต้นไม้ที่รกครึ้มสร้างความลึกลับอยู่ภายในนครวัดนครธมด้วย ห้องนอนเป็นกระจกแต่มีม่านกั้น ตอนกลางคืนเราก็ปิดม่านไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่พอเช้ามาก็เปิดม่านรับแสงอาทิตย์ แล้วก็กระโดดลงสระว่ายน้ำไปได้เลยจ้า

สำหรับห้องน้ำ แยกต่างหากออกไปอยู่ด้านหลัง มีห้องแต่งตัวกว้างขวาง มีเอาท์ดอร์บาธหรืออ่างอาบน้ำกลางแจ้ง ท่ามกลางสวนเล็กๆ สีเขียวให้ความรู้สึกร่มรื่นและชิลมาก เงยหน้าขึ้นไปมองเห็นท้องฟ้าในขณะอาบน้ำ โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเห็นตอนเราโป๊เลย เพราะเขาออกแบบมุมและสัดส่วนพื้นที่มาอย่างดี เรียกว่าคิดมาถี่ถ้วนแล้ว
และที่เก๋มากๆ ก็คือ เรนชาวเวอร์ที่สามารถเชื่อมต่อบลูทูธได้ เราก็สามารถเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือของเราเอง ฟังไปในขณะอาบน้ำได้
ความเก๋ยังไม่จบแค่นั้น เพราะภายในวิลล่ายังมีบันไดเดินขึ้นไปชั้น 2 เป็นรูฟท็อปเลานจ์ มีเบาะนุ่มๆ และหมอนให้เราไปเอนกายพักผ่อน แล้วก็ที่นั่งแบบบาร์ เผื่อว่าใครอยากจะมาจิบไวน์ จิบค็อกเทล แล้วชมพระอาทิตย์ตกดินไปพร้อมกัน

อ้อ! เราสามารถให้บัตเลอร์มาจัดเตียงให้เรานอนดูดาวยามค่ำคืนตรงนี้ไปเลยก็ได้นะ หรือจะเพียงแค่มาจัดสปา เธอราพิสต์เขาก็จะมานวดให้ตรงนี้กันแบบส่วนตัวไปเลย จะทานดินเนอร์ก็ได้อ่ะ พื้นที่เอนกประสงค์เวอรรรร์ อยากทำอะไร บอกบัตเลอร์สิคะ เขาจะเสกให้หมด
การบริการของบัตเลอร์ไม่ได้อยู่แค่เฉพาะในโรงแรม หากเราอยากออกไปสำรวจเมืองและต้องการให้บัตเลอร์ไปทำกิจกรรมเป็นเพื่อน เขาก็ยินดีที่จะไปทุกที่กับเรา ไปดูแล ไปช่วยถือของ ไปคอยให้คำแนะนำ ในฐานะที่เราไปเที่ยวคนเดียว จะรออะไรล่ะคะ ก็นัดบัตเลอร์ให้ไปเที่ยวนครวัด นครธมเป็นเพื่อนซะเลย ถึงแม้ว่าเขาจะให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่ได้ละเอียดอย่างไกด์ แต่เขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง แถมช่วยถ่ายรูปให้ตลอดทั้งวันเลย เราบอกเขาว่าจบทริปนี้ ยูไปรับจ้างเป็นช่างภาพให้บล็อกเกอร์คนอื่นๆ ได้เลยนะ

ความน่ารักก็คือ บัตเลอร์ไปจัดการจองตั๋วให้ล่วงหน้า 1 วัน พอถึงเวลา เราก็แค่ไปถ่ายรูปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วเพื่อทำบัตรผ่านเข้าชม จากนั้นเขาก็ช่วยเราวางแผนว่าอะไรที่น่าไปชมบ้าง จะเอาตรงไหนก่อนหลังดี แล้วก็มีรถขับพาไปจอดตรงจุดที่ใกล้ที่สุดของแต่ละปราสาท แดดร้อนก็กางร่มให้ ช่วยถือของให้อีก แถมพอเดินจบแต่ละปราสาท ก็จะพากลับมาที่รถ
หยิบผ้าขนหนูเย็นๆ หอมกลิ่นตะไคร้อ่อนๆ มาช่วยเราดับร้อน ต่อด้วยการเปิดแอร์ในรถให้ขึ้นไปนั่งกินของว่างที่นางจัดการเตรียมใส่ปิ่นโตมาให้ โอ๊ยยยย คือสปอยล์กันมากเกินไปล้าวววว

นี่แหละคือตัวอย่างของกลยุทธ์แบบ Personalization ที่ Shinta Mani มีให้กับแขกที่มาพัก จนสร้างความประทับใจได้แบบไม่รู้ลืม เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วที่ชอบให้คนอื่นมาใส่ใจ มาจดจำว่าเราชอบไม่ชอบอะไร บ่งบอกความเป็นมืออาชีพของการทำงานบริการซึ่งเราสัมผัสได้เลยว่ามาจากความตั้งใจและทุ่มเทจริงๆ
ถ้าจะให้นึกถึงข้อเสียของที่นี่ ก็คงมีแค่เรื่องยุง ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ด้วยการปิดประตูห้องทุกครั้งเวลาเข้าออก นอกนั้นก็คงเป็นเรื่องที่มาพักแล้วรู้สึกไม่อยากกลับบ้านเลยเนี่ยแหละ
Shinta Mani Angkor
For reservation or more information: www.shintamani.com