ทุกวันนี้ นักเดินทางทั้งหลายแทบจะไม่ค่อยได้พกกล้องใหญ่ๆ กันแล้ว และในอนาคตก็ดูจะมีแนวโน้มว่าโทรศัพท์มือถือนี่แหละจะพัฒนาขีดความสามารถในการถ่ายรูปและวิดีโอขึ้นไปเรื่อยๆ จนเราสามารถจบทุกขั้นตอนได้อย่างสะดวกและเต็มประสิทธิภาพ ตั้งแต่การสแนปภาพ ตัดต่อในแอปฯ ไปจนถึงการอัพโหลดลงโซเชียล และการมาของ ไอโฟน 13 (iPhone 13) ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นไปได้เหล่านั้น

เรามาดู 8 คุณสมบัติเด่นของ iPhone 13 Pro และ Pro Max ที่ตอกย้ำในความเป็นคู่หูนักเดินทางกันค่ะ
1. วัสดุกระจกแข็งแกร่งยิ่งกว่าสมาร์ทโฟนไหนๆ
iPhone 13 Pro ดีไซน์พรีเมียม สีสันสวยงาม กันรอยขีดข่วน โดยใช้วัสดุชั้นเยี่ยม รวมถึงขอบสเตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม ถือไปที่ไหนก็ดูเรียบหรูและคล่องตัว มีให้เลือก 4 สี และมีสีใหม่อย่างเซียร์ร่าบลู ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิวเพื่อให้ได้สีที่งดงามและทนทาน ขณะที่กระจกด้านหน้าเป็น Ceramic shield ซึ่งมีเฉพาะบนไอโฟนเท่านั้น แข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ เรียกได้ว่าถ้าพกพาระหว่างเดินทางแล้วเกิดทำตกพื้นหรือเผลอไปกระแทกอะไรเข้า ไอโฟนรุ่นนี้ก็มาพร้อมการปกป้องที่ดีเยี่ยม ให้เราเบาใจได้

2. ระบบกล้องที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนไอโฟน
นอกจากจะมีนอยซ์น้อยลงแล้ว ก็มาพร้อมความไวชัตเตอร์เร็วขึ้น เหมาะกับทุกสภาพแสง และเผยให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น อย่างกล้องไวด์นี่สามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม สูงสุด 2.2 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro ที่สำคัญยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ เวลาเรากำลังเดินทาง นั่งอยู่บนรถ เครื่องบิน รถไฟ หรือเดินป่า เราก็มั่นใจว่าจะได้ภาพที่ไม่เบลอ

3. ถ่ายภาพมาโครด้วยกล้องอัลตราไวด์ใหม่
ฟังก์ชั่นนี้ทำให้ภาพถ่ายของเราใกล้เคียงระดับโปรมากขึ้นไปอีก เพราะสามารถถ่ายวัตถุในระยะใกล้ โดยที่เห็นรายละเอียดชัดเจนมาก เก็บภาพวัตถุได้ดูใหญ่กว่าความเป็นจริง โดยการขยายภาพวัตถุนั้นด้วยระยะโฟกัสที่ใกล้เคียงที่สุดเพียง 2 ซม. นอกจากนี้ยังใช้มาโครกับวิดีโอได้ด้วย ทั้งสโลว์โมชั่นและไทม์แลปส์ ส่วน iPhone 13 Pro และ Pro Max ก็มาพร้อมกล้องเทเลโฟโต้ 77 มม. ให้เราเข้าใกล้สิ่งที่ต้องการถ่ายได้มากขึ้นขณะถ่ายวิดีโอ

4. โหมดภาพยนตร์ของวิดีโอ ทำหน้าชัดหลังเบลอได้
หนึ่งฟังก์ชั่นที่เราหลงรักมากๆ ของไอโฟนก็คือ ฟังก์ชั่นวิดีโอ เพราะเกือบทั้งหมดของคอนเทนต์วิดีโอที่ทำใน La Vie en Road ล้วนมาจากกล้องไอโฟนแทบทั้งสิ้น แต่สำหรับ iPhone 13 Pro เขามาพร้อมโหมดภาพยนตร์ สามารถ่ายวิดีโอโดยมีเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม และเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ จึงถ่ายออกมาได้เหมือนภาพยนตร์ขึ้นไปอีก พอถ่ายเสร็จก็ตัดต่อในแอปฯ iMovie บน iOS ได้เลย

5. ครั้งแรกกับความจุในการเก็บข้อมูลถึง 1TB
สำหรับสายเที่ยว เรามีภาพและวิดีโอให้เก็บเยอะมาก ไหนจะภาพแคปหน้าจอต่างๆ อย่างพวกแผนที่หรือรายละเอียดในการท่องเที่ยว กล้อง iPhone 13 ก็แทบจะกลายเป็นคอมฯเครื่องหนึ่งไปแล้ว เพราะเพิ่มความจุไปมากสุดถึง 1TB รับรองว่าทำงานและเก็บข้อมูลต่างๆ ได้ไม่มีสะดุด
6. การตัดต่อวิดีโอจะไม่มีค้างอีกต่อไป
หลายๆ ครั้งเราตัดต่อวิดีโอแบบละเอียดมากๆ เครื่องก็อาจจะประมวลผลไม่ทัน อาจเกิดเครื่องร้อนหรือเครื่องค้างได้ แต่ iPhone 13 Pro ก็ใช้ชิป A15 ซึ่งใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตร เป็นชิปที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน มาพร้อม GPU แบบ 5-core ใหม่ เพื่อประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน ใครจะเล่นเกม ถ่ายรูป หรือตัดต่อวิดีโอ ใดๆ ก็ตาม บอกได้เลยว่าไม่มีสะดุด

7. แบตเตอรี่ยาวนานตลอดวัน
การออกไปลุยนอกสถานที่สำหรับนักเดินทาง เรื่องหนึ่งที่เรากังวลมากๆ ก็คือแบตฯ จะใช้ได้ยาวนานแค่ไหน เพราะถ้ามือถือดับไปอย่างหนึ่งนี่ เหมือนชีวิตเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะถ้าเราอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคย และอาจจะต้องดูแมพฯ หรือติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ที่สำคัญก็คือการถ่ายรูปต่างๆ ครั้นจะให้พกพาวเวอร์แบงค์ใหญ่ๆ ไปทุกที่ บางครั้งก็ไม่ค่อยสะดวกนัก iPhone 13 Pro เขาคอนเฟิร์มมาว่า แบตเตอรี่รุ่น Pro นี้ ใช้งานได้นานตลอดวัน เรียกได้ว่านานที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนไอโฟน เปรียบเทียบก็คือ iPhone 13 Pro จะใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro ถึง 1.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 Pro Max จะใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro Max ได้ถึง 2.5 ชั่วโมงเลยทีเดียว

8. ฟังก์ชั่นช่วยเหลือนักเดินทางที่ friendly มากขึ้น
Apple Maps มาพร้อมวิธีใหม่ๆ ในการนำทางและสำรวจโลก ด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3 มิติ และเส้นทางการในแบบความเป็นจริงเสริม ส่วนแอปฯสภาพอากาศก็ได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอ และการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max วางจำหน่ายในสีกราไฟต์ ทอง เงิน และเซียร์ร่าบลู ในความจุ 128GB, 256GB, 512 GB และ 1TB มีวางจำหน่ายในประเทศไทยวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apple.com/th/