
ศิลปะไม่ได้อยู่แค่ในแกลเลอรี่… สำหรับลาวีอองโร้ด เรามักจะหยิบคำพูดนี้มาอยู่บ่อยๆ เพราะเราเชื่อว่าศิลปะแทรกซึมอยู่ในทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต ยืน เดิน นั่ง นอน พูด และกิน ฯลฯ
ครั้งนี้เราจะพามาคุยกับเจ้าของร้านคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของดีไซน์หรืองานออกแบบซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะ เมื่อได้เห็นสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นในร้านที่คัดสรรมาแล้ว เราก็บอกได้ว่านี่เป็นร้านที่เก๋ไม่เบา เพราะทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แอ็กเซสเซอรี่ และของใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ที่นี่ต่างก็นำเสนอในมุมมองของศิลปะได้หมด

เรากำลังพูดถึงร้าน Collective คอนเซ็ปต์สโตร์และแหล่งรวมไลฟ์สไตล์สร้างสรรค์ภายใต้ปรัชญา Homegrown Concept Store ซึ่งเปิดสาขาแรกที่ The Street รัชดา มากว่า 3 ปีแล้ว และล่าสุดเปิดสาขาที่สองที่ชั้น 5 เซ็นทรัลเวิลด์
“งานออกแบบอยู่กับเราตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา เดินเข้าไปในห้องน้ำเนี่ย หยิบแปรงสีฟัน ยาสีฟัน อาบน้ำ ทานข้าว มาจนถึงโต๊ะทำงาน คือตลอดการเดินทางเนี่ย เรามีเรื่องงานดีไซน์เข้ามาเกี่ยวข้องกันทั้งหมด” คุณเบิร์ด ภัสสริน ลิมปนวงศ์แสน ผู้อำนวยการบริษัทคอลเลคทีฟ จำกัด เล่าถึงแนวคิดเริ่มต้นของร้าน

“เบิร์ดเชื่อว่างานดีไซน์ที่ดี ต้องดีทั้งรูปลักษณ์และฟังก์ชั่น เราก็เลยอยากให้คนมาสัมผัสดีไซน์ที่มันแปลกใหม่ ใช้งานได้ ใช้แล้วเกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ของในร้าน Collective ก็จะเน้นไลฟ์สไตล์เป็นหลัก นอกเหนือจากสินคาแฟชั่นแล้ว ก็ยังมีของแต่งบ้าน แกดเจ็ท แอ็กเซสเซอรี่ แต่ทุกอย่างอยู่ในคอนเซ็ปต์เดียวกัน คือเราเลือกสินค้าที่มีความยูนีก โดดเด่นในตัวของมันเองทั้งในเรื่องดีไซน์หรือฟังก์ชั่น” เธอเล่าถึงหลักเกณฑ์คัดเลือกสินค้าเข้ามาวางขาย


เราจะเห็นสินค้าหลากหลายแบรนด์วางอยู่ปะปนกัน ซึ่งก็อย่างที่เธอบอก แต่ละชิ้นเป็นอะไรที่เราต้องหยิบจับดู พลิกไปพลิกมา แล้วครุ่นคิดบางอย่างเสมอ เช่น เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าไม่เหมือนใครเพราะเป็นผ้าทอมือจากท้องถิ่นภาคอีสานหรือภาคใต้แต่อยู่บนการดีไซน์ตัดเย็บแบบร่วมสมัย กระเป๋าอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้มากกว่า 1 อย่าง หรือแม้แต่ยาดมที่ดูแพ็กเกจจิ้งภายนอกแล้วแทบไม่รู้เลยว่าเป็นยาดม

“เราจะเลือกแบรนด์ที่มีแนวคิดต่างจากคนอื่น เช่นเสื้อผ้าของ Made by Hotcake หรือ Treasure House ที่มีไอเดียในการ support ชุมชน มีการนำผ้าทอจากจังหวัดต่างๆ มาใช้ และยังไปถ่ายแฟชั่นชู้ตติ้งที่ต่างประเทศเพื่อเป็นการโปรโมทวัฒนธรรมของไทยด้วย” เธอยังยกตัวอย่างสินค้าอื่นๆ อีกกว่า 70 แบรนด์ เช่น SVSS Project, Indigoskin, Museo, Bangkok Tales, Hamblepie เป็นต้น

“แฟชั่นยุคนี้ ผู้คนอยากจะ represent ตัวตนของตัวเองออกมาในแบบของเขา เขาไม่ได้มองว่าเทรนด์แฟชั่นตอนนี้เป็นยังไง แต่มองว่าแบบไหนที่ชอบแล้วจะหยิบจับออกมายังไงให้มันดูไม่เหมือนใคร มีเทรนด์ unisex มากขึ้น คนใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์ ผู้หญิงเอาเสื้อผู้ชายมาใส่ หรือผู้ชายบางคนก็ตัวเล็กมาก ใส่กางเกงผู้หญิงก็มี ส่วนตัวกลุ่มสินค้าดีไซน์ ยกตัวอย่างเช่น ยาดม อาจจะงงที่ร้านเราเป็นมัลติแบรนด์แต่ทำไมมีขายยาดมด้วย แบรนด์เขาชื่อ Arma Herbal ซึ่งไม่ได้หมายถึงอาม่า คนแก่ แต่มาจากคำว่าอโรมา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกดี ความเก๋คือดีไซน์ที่แปลกใหม่ ทันสมัย ถือไปดมที่ไหนก็เท่”

แสดงว่าคนไทยยุคใหม่ก็หันมาสนใจและให้ความสำคัญกับงานดีไซน์กันมากขึ้น “ใช่ค่ะ จะเห็นว่าอย่างการทานอาหาร ตอนนี้เราก็มีไปทานโอมากาเสะ หรือทานแบบ chef table นั่งเอนจอยกับการดูโชว์ศิลปะในการทำอาหาร หรือตัวสินค้าที่เราทำออกมาก็มี collaborate หรือมีทำรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ซึ่งเราก็จะเห็นฟีดแบ็กการต่อคิวยืนรอซื้อ อะไรต่างๆ ค่อนข้างผลตอบรับดีมาก คือมีการนำงานศิลปะของศิลปินที่เคยวาดอยู่แค่บนผืนผ้าใบ เอามาอยู่บนสินค้าซึ่งมาอยู่บนตัวเราเยอะขึ้นด้วยในทุกวันนี้ ทำให้เกิดสีสัน และเพิ่ม value ให้กับตัวแบรนด์และตัวสินค้าด้วย” คุณเบิร์ดพาเดินไปชมภาพเพนต์ผนังขนาดใหญ่สีสันสดใสที่หน้าร้าน ผลงานของนักออกแบบชื่อดัง Juli Baker & Summer ซึ่งเป็นลวดลายที่นำมาเพนต์ลงบนโปรดักต์แนว eco-friendly ในคอลเลกชั่นพิเศษ Summer in Sakae ด้วย


“เราต้องการจะปลุกปั้นศิลปินรุ่นใหม่ออกมา จะทำยังไงให้ผลงาน local ไปถึงระดับโลก เราก็ต้องบิลท์เขาแต่ต้น เราเป็นทั้ง business matching และ business partner ให้เขาที่จะช่วยมิกซ์แอนด์แมตช์ในเรื่องของตัวแบรนด์โลคอลเองกับศิลปินที่มีชื่อเสียง หรือนำศิลปินไทยมา collab กับแบรนด์อินเตอร์ ทำอะไรที่มันพิเศษออกมา” นี่คือจุดที่ตอบโจทย์ปรัชญา Homegrown Concept Store อย่างที่คุณเบิร์ดกล่าวไว้
ชีวิตมันคงเป็นเรื่องสนุกขึ้น ถ้าแม้แต่เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ หรือแปรงสีฟันที่เราใช้ก็เป็นศิลปะ…
ร้าน Collective
สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 5 และสาขาเดอะสตรีท รัชดา ชั้น 1 หรือสั่งสินค้าผ่าน Line OA: @CollectiveStore จัดส่งถึงบ้าน