ในปีที่ว่ากันว่าอุณหภูมิของเมืองไทยทำสถิติสูงที่สุดในรอบ 56 ปี ฉันเดินทางมาเชียงรายในหน้าร้อนเป็นครั้งแรก เมืองที่ใครหลายคนมักจะคิดถึงเฉพาะตอนหน้าหนาว แต่ฉันคิดว่าเมืองทุกเมืองในฤดูกาลที่แตกต่างก็ให้ประสบการณ์และความรู้สึกกับผู้มาเยี่ยมเยือนในแบบที่ต่างกันไป
ฉันเดินทางมาแบบไม่รู้เลยว่าเชียงรายหน้าร้อนจะมีอะไรให้พบเจอ นอกจากอากาศร้อนซึ่งเป็นผลพวงจากไฟป่าและภาวะโลกร้อน รู้แค่ว่าการมาเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นทำให้ฉันไม่ต้องเจอความแออัดของผู้คน ทำให้ฉันได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก และบางทีอาจได้เจอความงามในมุมมองใหม่ที่คนอื่นไม่เห็น
Day 1:
13.00 ไร่แม่ฟ้าหลวง
17.00 หาดเชียงราย
บอกตรงๆ ว่าหน้าร้อนนี้ ฉันเสพข่าวเรื่องไฟไหม้ป่าจนรู้สึกแย่ ภาคเหนือเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร วิถีชีวิตของผู้คนผูกพันกับไม้มาตั้งแต่โบราณ บ้านเรือน ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงงานศิลปะ ล้วนมีไม้เป็นส่วนประกอบ แต่วันนี้กลายเป็นว่าเราชินกับภาพภูเขาหัวโล้นและแม่น้ำแห้งขอดมากกว่า ปัญหาที่ว่ามากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันอยากรู้เรื่องของ ‘ไม้’ มากขึ้น
โชคดีที่ฉันมาถึงเชียงรายในช่วงที่หมอกควันไฟป่าเพิ่งจางไปเมื่ออาทิตย์ก่อน และอากาศก็เลยจุดร้อนจัดไปแล้ว ฉันจึงเลือกมาเยือนอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) เป็นที่แรก เพราะเป็นสถานที่ที่รวบรวมศิลปะงานไม้แบบล้านนาไว้ได้สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง
ระหว่างขับรถเข้ามาจอด เห็นหนองน้ำขนาดใหญ่ในไร่ที่เคยเต็มปริ่ม แต่ตอนนี้แห้งจนเหลือแต่ดินแตกระแหงจนคนลงไปเดินเล่นได้ ต้นไม้ก็ไม่แน่นครึ้มอย่างที่เคยเห็นตอนหน้าหนาว แต่สิ่งที่หน้าหนาวไม่มี คือดอกไม้หน้าร้อนที่แข่งกันบานสะพรั่ง ไม่ว่าจะเป็นพันจัม, อำพันทอง, ชบา, ยี่โถ, อโศกเหลือง,ประดู่ม่วง, บุนนาคสีชมพู, ฝนแสนห่า และลีลาวดี ฯลฯ ฉันเก็บเวราครูซ โรส (Vera Cruz Rose) ลีลาวดีพันธุ์หนึ่งที่กลิ่นเหมือนกุหลาบ ใส่กระเป๋ากางเกงมา 3 ดอกเพราะหอมดี ไม่ได้เด็ดจากต้นนะ มันร่วงอยู่ที่พื้น
บนเนื้อที่กว่า 150 ไร่ นอกจากพืชพรรณที่มีให้เดินดูไม่รู้จบ ก็ยังมีงานไม้แบบล้านนาให้ได้ศึกษา ‘หอคำ’ คือสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดในไร่แม่ฟ้าหลวง สร้างจากไม้เก่าที่ได้จากบ้าน 32 หลังในภาคเหนือ หลังคาไม้สักเป็นแบบแป้นเกล็ดโบราณยึดติดกันไว้ด้วยลิ่มไม้โดยไม่มีการใช้ตะปู ฉันเข้าไปสักการะ ‘พระพร้าโต้’ ก่อนเป็นอันดับแรก พระพุทธรูปประจำหอคำอายุประมาณ 300 ปี แกะสลักจากไม้สักทองโดยใช้มีดพร้าเพียงเล่มเดียว แล้วก็เดินดูเครื่องไม้อันเป็นพุทธศิลป์ที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ จากวัดในหลายจังหวัดของภาคเหนือ อย่างเช่น เชิงเทียนไม้เก่าแก่ ตุงหรือธงที่ทำจากไม้ และขันดอก (ภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ) แต่ละชิ้นอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี
ข้างในหอคำโปร่งโล่งและมีลมพัดผ่านเข้าออกตลอด เย็นสบายโดยไม่ต้องติดแอร์สักเครื่อง เจ้าหน้าที่บอกว่า ด้วยความที่ในไร่มีต้นไม้ใหญ่เยอะ อุณหภูมิจึงต่ำกว่านอกไร่ประมาณ 3-4 องศาแม้ในวันที่ร้อนที่สุด ตอนแรกไม่รู้สึกอย่างนั้นเพราะดันไปเดินดูดอกไม้หน้าร้อนท่ามกลางแดดเปรี้ยง แต่พอกลับเข้ามาในที่ร่ม โดยเฉพาะบริเวณหอคำ เหงื่อก็แห้งหมด เหลือแต่ความสงบเย็น
ใกล้ๆ กันมีหอคำน้อยเป็นที่เก็บจิตรกรรมสีฝุ่นผสมยางไม้ เขียนลงบนแผ่นไม้สักอายุร้อยกว่าปี ถือเป็นตัวอย่างจิตรกรรมฝาผนังสกุลช่างล้านนาที่หาดูได้ยาก เสียดายที่ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม แต่เรายังสามารถไปเดินดูงานไม้รอบๆ ได้อีกหลายส่วน ทั้งเสาแกะสลัก ชิงช้าไม้สัก ประติมากรรมไม้ที่ตั้งประดับอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ โครงหลังคาพระอุโบสถ นิทรรศการเกี่ยวกับไม้ที่หอแก้ว หรือจะเดินเล่นในสวนไม้สักที่ด้านหลังก็ได้
ออกจากประตูแก้วมาเลิงของไร่แม่ฟ้าหลวง ฉันเห็นป้ายบอกทางไปหาดเชียงราย (พัทยาน้อย) ตอนแรกไม่รู้ นึกว่าเชียงรายมีทะเล แต่จริงๆ แล้วคือแม่น้ำกกที่เวลาหน้าแล้ง น้ำลง เราจะเห็นทรายอยู่กลางน้ำ ลักษณะเหมือนหาด คนเชียงรายชอบมาเล่นน้ำคลายร้อนกัน ที่นี่…ฉันเห็นดอกหางนกยูงสีแสดเบ่งบานเต็มต้น เรียงรายเป็นทิวแถว
Day 2:
8.00 ใส่บาตรที่วัดพระขี่ม้า
11.00 กินผักที่จันกะผัก
14.30 กลุ่มแกะสลัก บ้านถ้ำผาตอง
6 โมงเช้า ฉันออกจากที่พักมุ่งหน้าไปใส่บาตรที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง แถวแม่จัน อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสต้นๆ ในตอนเช้าตรู่ทำให้ฉันขับรถโดยไม่ต้องเปิดแอร์แต่เปิดกระจกแทน ขับมาถึงแถวๆ บ้านดู่ เห็นไอหมอกลอยอยู่ทั่วทุ่งกว้างโดยมีแบ็กกราวด์เป็นพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น เป็นฉากที่สวยอย่างกับในมิวสิกวิดีโอ เดาว่าน่าจะเป็นผลจากพายุฤดูร้อนเมื่อคืน
เราเสียเวลาโดนเรียกตรวจปัสสาวะตอนขับผ่านด่านตรวจยาเสพติดนิดหน่อย แต่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงวัด พระเณรที่นี่ขี่ม้าออกบิณฑบาตตามหมู่บ้านขาวเขาเป็นระยะหลายกิโลเมตรทุกวัน ด้วยสภาพถนนหนทางที่เป็นดอยสูง บวกกับพระเจ้าอาวาสที่เป็นอดีตนายทหารม้า และชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่ก็มักใช้ม้าแกลบในการเดินทางและบรรทุกของอยู่แล้ว จึงนำม้ามาถวายด้วยความศรัทธา
บรรยากาศที่วัด แม้เป็นหน้าร้อนแต่เย็นสบายและเงียบสงบมาก มีคนมารอใส่บาตรที่ลานพระแก้วไม่ถึง 10 คนเนื่องจากอยู่นอกฤดูกาลท่องเที่ยว ราวๆ 8 โมง จะมีพิธีกรรมบทสวดขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรก่อนทำบุญใส่บาตร และสักประมาณ 9 โมง พระสงฆ์ก็จะทยอยขี่ม้ากลับวัด ซึ่งเราสามารถใส่บาตรในขณะที่ท่านอยู่บนหลังม้าได้เลย ฉันแนะให้หาซื้อเตรียมของสดและอาหารที่มีคุณภาพไปเอง แต่หากไม่สะดวก ก็มีชาวบ้านมาขายอาหารแห้งอยู่ในบริเวณวัดให้เลือกซื้อได้เหมือนกัน สำหรับฉัน…การพาจิตใจไปสัมผัสความสงบถือเป็นการสร้างความเย็นวิธีหนึ่ง
ไหนๆ วันนี้ก็มาแถวแม่สายแล้ว ฉันจึงมากินมื้อสาย (Brunch) ที่ร้านจันกะผัก ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ดำเนินการจัดตั้งโดยมูลนิธิชัยพัฒนาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านในมีแปลงผักขนาดใหญ่ซึ่งมีคนงานกำลังจัดแจงซ่อมแซมความเสียหายบางส่วนจากพายุฤดูร้อนเมื่อคืน เราจะได้ลิ้มรสผักพื้นบ้านหลายสายพันธุ์ที่ปลูกอยู่ในแปลงผักปลอดภัยกันแบบสดๆ จากเมนูในร้านนี่แหละ ตั้งแต่สลัดบาร์กับน้ำสลัด 4 ชนิด ให้ตักได้คนละ 1 จาน 1 ครั้ง ต่อด้วยเมนู ‘สังสรรค์จันกะผัก’ หรือผักทอดตามฤดูกาลกว่า 9-10 ชนิด, เปาะเปี๊ยะทอดไส้ผัก, ไก่ย่างกับข้าวเหนียวอัญชันห่อใบตอง ทานกับน้ำผักผลไม้รวม ‘จันกะผัก’ ก่อนปิดท้ายด้วยไอศกรีมท็อปปิ้งผลไม้ ได้ความเย็นสดชื่นแถมสุขภาพดีด้วย นับว่ามื้อนั้นคลอโรฟิลด์เต็มเปี่ยมทั้งกายใจ
Day 3:
9.00 ร้านกาแฟสวนดอก
11.30 สิบปัญจะ Art Space
13.00 น้ำเงี้ยวป้านวล อาหารญวนพังงา
15.30 Narata Boutique Studio
เชียงรายปลูกชากาแฟอยู่ทั่วจังหวัด มาเชียงรายแต่ละครั้ง ฉันแวะร้านชากาแฟไม่เคยซ้ำกันเลย และทุกครั้งก็ให้ประสบการณ์แก่ลิ้นที่แตกต่างกัน
วันสุดท้ายของทริปเชียงรายหน้าร้อนเริ่มที่กาแฟสวนดอก (Hana Zono) ร้านกาแฟที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ เมนูเด่นของที่นี่คือกาแฟใส่เหล้าอย่างวิสกี้หรือรัม มีให้เลือกหลายประเภทตามดีกรีความแรง ฉันเลือกลอง Yamagoya Original (เอสเพรซโซ+วิสกี้) ที่ให้เราเติมน้ำตาลกับผงอบเชยได้ตามใจ ขณะที่สำหรับคนชอบกินเหล้า ต้องลองตัวแรงสุดอย่าง Lily Original (กาแฟ+วิสกี้+รัม) โดยคนให้เข้ากันก่อนดื่มแบบไม่ให้วิปครีมด้านบนแตกตัว
ในช่วงสาย ฉันมีนัดที่สิบปัญจะ Art Space บ้านและสตูดิโอของมานิตย์ กันทะสัก ศิลปินแกะสลักไม้แบบร่วมสมัยของเชียงราย เป็นหนึ่งในกิจกรรมของขัวศิลปะ (ศูนย์กลางของศิลปะและศิลปินในเชียงราย) ที่ให้ศิลปินเปิดบ้านให้คนเข้าไปเยี่ยมชมผลงานได้ งานอินสตอลเลชั่นไม้ของเขาแหวกขนบประเพณีดั้งเดิมแต่ดูสร้างสรรค์ มันพาเราเข้าไปถึงแก่นของเนื้อไม้ เห็นรายละเอียดของเปลือกไม้ และความเป็นไปได้ของไม้ในการสร้างรูปทรงต่างๆ
เราคุยกันเรื่องไม้ๆ จนถูกคอ พี่เขาเลยพาไปเลี้ยงมื้อเที่ยงที่ร้านน้ำเงี้ยวป้านวล อาหารญวนพังงา น้ำเงี้ยวเจ้าดั้งเดิมของเชียงรายที่ตอนหลังมาเพิ่มเมนูอาหารเวียดนามด้วย ลูกชายของป้านวลก็เป็นศิลปินเชียงรายอีกคน การตกแต่งร้านจึงแปลกแตกต่างด้วยการใช้ชิ้นกระจก ชิ้นไม้ และงานศิลปะประดับอยู่ทั่วบริเวณ ให้กลิ่นอายล้านนาผสมกับอารยธรรมแบบตะวันตกยุคเก่า ในบ้านไม้เก่าที่เอาเพดานชั้น 1 ออกไป แถมปลูกต้นไม้ร่มรื่น อากาศจึงโปร่งโล่งเย็นสบาย
ยิ่งได้ชิมขนมจีนน้ำเงี้ยวที่เข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องแกง กับอาหารเวียดนามอย่างกุ้งกระเบื้อง หมูย่างใบชะพลู เมี่ยงสดไส้กุ้ง บ่อบุ้นหรือขนมจีนคลุกผักและเครื่องเคียงราดด้วยน้ำจิ้มหวานๆ ทานแกล้มกับผักที่ยกมาให้แบบครบเซ็ต ยิ่งรู้สึกฟินไปกับ ‘ความสดของผัก’ ที่เชียงราย
ก่อนกลับ ฉันแวะไปเยี่ยมบ้านเพื่อนสักหน่อย เราเคยรู้จักกันช่วงสั้นๆ ตอนฝึกงานแต่ตอนนี้เธอย้ายกลับมาอยู่เชียงรายบ้านเกิดได้สักพักใหญ่แล้ว และทำงานศิลปะบนผืนผ้าในแบบของตัวเอง ภายใต้ชื่อ Narata Boutique Studio โดยจิตนารถ พิชัยยา ผู้เล่าเรื่องเชียงรายผ่านผ้าแบบร่วมสมัย ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หมวก โดยใน 1 ปีจะออก 2 คอลเลกชั่น คือฤดูร้อนกับหนาว เพื่อให้ตรงกับสภาพอากาศในบ้านเรา
เธอโชว์เครื่องทอผ้าและจักรเย็บผ้าซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำงานหลัก และชุดแต่งงานที่เธอนำชุดแม่มาตัดเย็บใหม่ให้เข้ากับสไตล์ของเธอเอง รวมถึงชิ้นงานบางส่วนที่กำลังทำอยู่ในธีม Butterfly Effect ซึ่งจะออกขายในฤดูกาลถัดไป ทั้งหมดนี้ใช้วัตถุดิบจากในเชียงรายเท่านั้น
เธอทำส่วนหนึ่งของบ้านให้เป็นบาร์เครื่องดื่มด้วย เรานั่งพักเหนื่อยกันที่นั่นและเธอก็ชงชาอินเดีย (Masala Chai Tea) เย็นเจี๊ยบให้ฉันชิม นอกจากนี้ก็ยังมีมะตูม อัญชัน และน้ำสมุนไพรตามฤดูกาลไว้ต้อนรับแขกไปใครมา สามารถเข้ามานั่งพักผ่อนและจิบเครื่องดื่มแก้กระหาย
เรานั่งคุยกันเรื่องหน้าร้อนในเชียงราย เธอชี้ให้ดูความแห้งเหี่ยวของต้นไม้ในบ้านและบ่นว่าปีนี้ร้อนกว่าทุกปี ขณะที่ฉันก็เปิดรูปสระน้ำแห้งขอดในไร่แม่ฟ้าหลวงให้เธอดู ทั้งคน ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ และเมล็ดพันธุ์ ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการเดินทางมาของ ‘สายฝน’
ในหนังสือของไร่แม่ฟ้าหลวงเขียนไว้ว่า ‘เชียงรายเมื่อ 30 ปีก่อน ในหน้าร้อนยังต้องอาบน้ำอุ่นเพราะอากาศเย็นฉ่ำ ส่วนวันที่ฟ้าหลัวด้วยฝุ่นควันก็มีเพียงวันสองวัน’ ฉันคิดว่าเราทำเชียงรายหน้าร้อนให้ดีเท่าครึ่งหนึ่งของตอนนั้นได้ ถ้าทุกคนหยุดการตัดไม้ทำลายป่า
ที่สำคัญ การมาเที่ยวเชียงรายในหน้าร้อนทำให้ฉันได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนเชียงรายได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนเชียงรายต้องอยู่ที่นี่ในทุกฤดู ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร เหมือนกับเวลาเรารู้จักกับใครไปสักระยะหนึ่ง เราต้องเรียนรู้จักเขาในทุกๆ ด้าน ไม่ใช่เพียงผิวเผิน สิ่งนั้นบ่งบอกว่าความสัมพันธ์กำลังเติบโต ฉันหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ฉัน’ กับ ‘เมืองเชียงราย’ 🙂
—————————————–
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
- กลุ่มแกะสลัก บ้านถ้ำผาตอง และ สิบปัญจะ Art Space เรื่อง “Echoes in Wood” ได้ที่ https://lavieenroad.com/2016/05/20/echoes-in-wood/
- ร้านอาหารจันกะผัก เรื่อง “Healthy Veggie” ได้ที่ https://lavieenroad.com/2016/05/20/healthy-veggie-at-jun-ka-pak/
- ร้านกาแฟสวนดอก เรื่อง “Liqueur Coffee at Hana Zono” ได้ที่ https://lavieenroad.com/2016/05/20/liqueur-coffee-at-hana-zono/
Travel Tips
Photos: Jarareab