ลูเบอรง (Luberon) คือชื่อของเทือกเขาเล็กๆ และหุบเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านเก่าแก่ในแคว้นโพรวองซ์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นจุดหมายในฝันของคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวสไตล์ชนบท มองหาธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ ทุ่งลาเวนเดอร์สีสวย ไร่องุ่นพันธุ์ท้องถิ่น และการศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านอาคารบ้านเรือนที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ พร้อมวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งอะไรมาก

หมู่บ้านหลายแห่งในลูเบอรงได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่ม Les Plus Beaux Villages de France ซึ่งแปลว่า หมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส มันกระจายอยู่ทั่วประเทศฝรั่งเศส แต่ในลูเบอรงนี้มีอยู่หลายหมู่บ้านเลยทีเดียว ลองคิดภาพของภูเขาไร่องุ่น และหมู่บ้านสีสันอบอ่นลดหลั่นกันอยู่ตามเนินเขา เหมือนกับหลุดออกมาจากภาพวาด แถมบางวันจะมีตลาดนัดในชุมชนที่เราจะได้ค้นพบและทำความรู้จักโพรวองซ์ให้มากขึ้นผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรท้องถิ่นที่ชาวบ้านนำมาวางขาย อย่างเช่น น้ำผึ้ง แยม ลาเวนเดอร์ ผ้าปูโต๊ะ ของที่ระลึก งานฝีมือ และไวน์ท้องถิ่น


เรามาเที่ยวลูเบอรงในช่วงต้นพฤษภาคม ตรงกับฤดูใบไม้ผลิพอดี อากาศก็ประมาณ 10 กว่าองศา มีแดดเป็นส่วนใหญ่ แต่บางวันก็ยังมีฝนบ้าง ฉะนั้นเตรียมชุดที่กันฝนมาด้วยก็ดี แต่ถ้าใครอยากมาแบบเจอลาเวนเดอร์บานสะพรั่งถ่ายรูปสวย ต้องมาช่วงปลายมิถุนายน-สิงหาคม บรรยากาศในเมืองต่างๆ จะคึกคักมากขึ้นด้วย เพราะมีอีเวนต์ มีคอนเสิร์ต และเทศกาลต่างๆ

การเดินทางมาลูเบอรง สามารถนั่งรถไฟ TGV จากปารีสใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงมาลงที่สถานี Avignon แล้วต้องเช่ารถขับต่อ หรือหากใครเดินทางมาโดยเครื่องบิน สนามบินที่ใกล้ที่สุดคือที่เมืองมาร์เซยย์ (Marseille) แล้วก็ขับรถต่อ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที


สำหรับเราในทริปนี้ อยากสัมผัสฟีลของความเป็นโพรวองซ์แบบยุคก่อน จึงใช้บริการรถเช่าแบบวินเทจพร้อมคนขับของ Oh my Deuche ซึ่งเขาใช้รถ 2CV แบรนด์ฝรั่งเศสแท้อย่าง Citroen รุ่นที่ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้ว อย่างคันนี้ที่เราใช้อยู่มา 40 ปีแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นรถที่ไม่มีวันพัง เพราะมันเป็นระบบแมนนวลทั้งหมดเลย หน้าต่าง ประตู ใช้มือเปิดปิดทีละบานด้วยตัวเอง เบรกมือ เกียร์ ไปจนถึงที่ปัดน้ำฝนใบจิ๋ว และที่สำคัญเขาเป็นรถเปิดประทุน ในวันอากาศดีคือเปิดรับลมจากชนบทของโพรวองซ์ได้แบบเต็มที่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและทำการจองรถได้ที่ https://www.ohmydeuche.fr/
รถคันนี้พร้อมพาเราออกผจญภัยในหุบเขาลูเบอรง แบบทั้งน่ารักและน่าตื่นเต้น ไปดูกันว่าในทริป 1-2 วัน มีสถานที่ไหนที่น่าไปเยือนบ้าง
1. Gordes

หมู่บ้านยอดเขาที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ตัวบ้านหินสีอ่อนเรียงตัวลดหลั่นตามเนินเขา มองเห็นวิวหุบเขาเบื้องล่างแบบพาโนรามา อาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นใหม่ในหมู่บ้านจะต้องสร้างด้วยหินและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องให้เหมือนอาคารเก่า ๆ ที่มีอยู่



ด้านหน้าหมู่บ้านมีจุดชมวิวที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูป ก่อนเข้าไปเดินเล่นในตัวเมืองซึ่งเป็นถนนหินเล็กๆ อย่าลืมแวะปราสาท Château de Gordes ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เด่นที่สุดในหมู่บ้าน อายุกว่าหนึ่งพันปีแล้ว มีป้อมปราการล้อมรอบ สมัยก่อนเคยใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ เป็นคลังเก็บอาวุธและเก็บเสบียง ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางของเมือง เพราะมีทั้งบาร์ โรงเรียน โรงอาหาร ไปรษณีย์ ศาลาว่าการเมือง และยังมีห้องจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยด้วย
2. Musée de la Lavande (Lavender Museum)

ขับรถจาก Gordes ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จะพบกับพิพิธภัณฑ์ลาเวนเดอร์แห่งลูเบอรง เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดกะทัดรัด ให้ความรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ลาเวนเดอร์แท้ดั้งเดิมของโพรวองซ์ นั่นคือ Fine Lavender มีคุณสมบัติพิเศษคือเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ภูเขาที่มีความสูงประมาณ 900 เมตร และมีการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ทำให้มีความหลากหลายทางพันธุกรรมและกลิ่นหอมที่ซับซ้อน มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง

อีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ ลาเวนดิน (Lavandin) เป็นลูกผสมที่เกิดจากการผสมระหว่างลาเวนเดอร์แท้กับลาเวนเดอร์อีกสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะให้ผลผลิตน้ำมันหอมระเหยในปริมาณมาก แต่กลิ่นหอมจะเข้มข้นและหยาบกว่า และมักใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรืออุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่เน้นความละเอียดของกลิ่น

พนักงานออกมาบรรยายและให้เราได้เห็นตัวอย่าง รวมถึงดมกลิ่นลาเวนเดอร์ทั้งสองชนิด ซึ่งเราเซอร์ไพรซ์มาก เพราะเพิ่งรู้ว่าลาเวนเดอร์แท้มีกลิ่นอย่างไร และน้ำมันหอมระเหยที่เราเคยใช้กลิ่นลาเวนเดอร์มาตลอด อาจไม่ใช่กลิ่นที่มาจากธรรมชาติเพียวๆ โดยเขาอธิบายว่าให้สังเกตสัญลักษณ์ AOP (Appellation d’Origine Protégée) ซึ่งใช้รับรองคุณภาพลาเวนเดอร์แท้ จะแปะอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ เป็นการรับรองแหล่งกำเนิดและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์นั้นมาจากลาเวนเดอร์แท้ที่ปลูกและกลั่นในพื้นที่ที่กำหนด และผ่านกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานสูง


จากนั้นก็จะพาเราเข้าไปชมสารคดีเกี่ยวกับการปลูกลาเวนเดอร์ มีห้องจัดแสดงเครื่องกลั่นน้ำมันลาเวนเดอร์โบราณ ชมคอลเลกชันเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการผลิตน้ำมันลาเวนเดอร์ และถ้าใครมาเป็นครอบครัว เขามีกิจกรรมเวิร์กช็อปสนุกๆ อย่างการทำซองลาเวนเดอร์ วาดภาพสีน้ำหอมลาเวนเดอร์ และชมการสาธิตการกลั่นน้ำมันแบบดั้งเดิม

ก่อนจะออกมาพบร้านค้าผลิตภัณฑ์ลาเวนเดอร์แท้ เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทำจากลาเวนเดอร์แท้ เช่น น้ำมันหอมระเหย ครีมบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายอื่นๆ ที่ได้รับการรับรอง AOPกระบวนการกลั่นน้ำมันหอมระเหย ให้เราได้เลือกซื้อกลับบ้านด้วย
3. Roussillon

อีกหนึ่งหมู่บ้านสวยในลูเบอรงที่เราชอบมาก คือ รุสซิยง (Roussillon) หมู่บ้านแห่งหน้าผาสีส้มแดงที่เป็นเอกลักษณ์จากแร่ Ochre เป็นแร่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของที่นี่มาก ยุคโบราณเขาใช้แร่นี้ผสมกับไขมันสัตว์ ใช้วาดภาพตามผนังถ้ำและใช้ตกแต่งร่างกายในชนเผ่าต่างๆ ต่อก็นำไปแปรรูปเป็นสีที่ใช้ในอุตสาหกรรมมากมาย


หากอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับแร่นี้มากขึ้น มีเส้นทางธรรมชาติให้ไปสำรวจ ชื่อว่า “Sentier des Ocres” เราจะได้เดินชมผาหินหลากเฉดสี ราวกับอยู่ในอีกดาวเคราะห์หนึ่ง รูทจะมีทั้งแบบสั้นกับแบบยาว เลือกเอาตามกำลังจา รูทสั้นใช้เวลาประมาณ 20 นาที ส่วนรูทยาวประมาณ 45 นาที อย่าลืมเลือกรองเท้าที่สวมสบายที่สุดมา

ตัวอาคารบ้านเรือนที่นี่ ฟีลคล้ายๆ กับที่ Gordes แต่มันจะเป็นสีส้มสดใสไปหมด ตัดกับท้องฟ้าและต้นไม้เขียวขจี ร้านค้าเขาก็ขายของคล้ายๆ กับหมู่บ้านอื่นๆ เพียงแต่ที่ติดอันดับขายดีคือสีฝุ่นสำหรับเพนต์ เพราะทำจากแร่ Ocres และเราจะเห็นของที่ระลึกเป็น ตัวจั๊กจั่น เยอะมาก เขาบอกว่ามันคือสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ฤดูร้อน และก็เป็นสัตว์นำโชคของคนท้องถิ่นด้วย
4. Lourmarin
ขับรถจาก Roussillon ประมาณ 40 นาที จะพบหมู่บ้านลูร์มาแร็งซึ่งซ่อนตัวอยู่ทางใต้ของเทือกเขาลูเบอรง เป็นหมู่บ้านที่งดงามรราวกับหลุดออกมาจากบทกวีฝรั่งเศส เป็นที่ที่ “ชีวิตแบบโพรวองซ์” ไม่ใช่เพียงภาพในจินตนาการ แต่เกิดขึ้นจริงตามจังหวะฤดูกาล และความเรียบง่ายที่งดงามของชีวิตประจำวัน

แนะนำให้มาที่นี่ช่วงเช้าวันศุกร์ เพราะมีตลาดซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่ดีที่สุด เดินสนุกที่สุดในแคว้นโพรวองซ์เลยทีเดียว ทั้งยังมีร้านอาหารท้องถิ่น ร้านเบเกอรี่ คาเฟ่เล็กๆ และอาร์ตแกลเลอรี่มากมาย รอให้เราเดินสำรวจไปตามถนนหินกรวดในตรอกซอกซอยเล็กๆ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความรู้จัก Loumarin โดยบรรยากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อนแบบนี้ คนจะใส่ชุดเดรสบางเบา เสื้อผ้าลินิน หมวกสาน ถือถุงผ้ามาเดินตลาด และบ้างก็นั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะด้านนอกของคาเฟ่

Château de Lourmarin คือปราสาทเก่าจากศตวรรษที่ 12 ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมหมู่บ้าน มองเห็นวิวได้ทั่วบริเวณ เป็นทั้งศูนย์วัฒนธรรม แกลเลอรี่ศิลปะ และจุดชมพระอาทิตย์ตกที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของลูเบอรง

หนึ่งในนักเขียนที่ฉันชื่นชอบ อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) เขาชอบลูร์มาแร็งมากๆ เพราะแสงแดดและสีสันของที่นี่มันเชื่อมโยงกับบรรยากาศในบ้านเกิดของเขาในแอลจีเรีย ความอบอุ่นที่เรียบง่ายและความเป็นศิลปะ เขามาที่นี่ตามคำแนะนำของเพื่อนนักเขียนอย่าง Henri Bosco และ René Char และตกหลุมรักหมู่บ้านนี้ในทันที หลังจากเสียชีวิตในปี 1960 จากอุบัติเหตุรถยนต์ Albert Camus ก็ถูกฝังไว้ที่สุสานของหมู่บ้าน Lourmarin ซึ่งกลายเป็นจุดหมายของผู้ชื่นชอบวรรณกรรมและปรัชญาที่เดินทางมารำลึกถึงเขา
5. Musée de l’Huile d’Olive Luberon
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้พาเราไปสัมผัสรากเหง้าของโพรวองซ์ผ่านหยดน้ำมันมะกอก พิพิธภัณฑ์น้ำมันมะกอกแห่งลูเบอรอง (Musée de l’Huile d’Olive du Luberon) ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งองุ่นและไร่มะกอกของหมู่บ้าน Oppède ได้รับการออกแบบสไตล์ร่วมสมัยและชวนดื่มด่ำ เปิดประตูสู่ประวัติศาสตร์ของการผลิตน้ำมันมะกอกในแคว้นโพรวองซ์ ซึ่งเป็นมากกว่าผลิตผลทางการเกษตร หากแต่เป็นรากวัฒนธรรมที่หยั่งลึกมานับพันปี


ที่นี่เราจะได้เรียนรู้วิวัฒนาการของน้ำมันมะกอกตั้งแต่ยุคกรีก-โรมัน มาจนถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ กระบวนการทำน้ำมันมะกอก ตั้งแต่การปลูก การบีบ จนถึงการบรรจุ เราได้เห็น เครื่องบดมะกอกโบราณ ที่เคยใช้งานจริง ตลอดจน โรงคั้นน้ำมันแบบดั้งเดิม ที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของประเพณีการผลิตน้ำมันมะกอกของครอบครัวโพรวองซ์ นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการอินเตอร์แอ็กทีฟและสื่อจัดแสดงหลากหลายรูปแบบ โดยจะมีแมวขนสวยตัวหนึ่ง มี access ที่สามารถเดินเข้าไปได้ทุกที่ในพิพิธภัณฑ์ เหมือนมาคอยนำชมนิทรรศการเลย


สายพันธุ์มะกอกที่ปลูกในแคว้นโพรวองซ์ เช่น Aglandau, Salonenque, Verdale, และ Grossane ซึ่งล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในแง่รสชาติ กลิ่นหอม และปริมาณน้ำมัน ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกคุณภาพจากสายพันธุ์เหล่านี้จะมีการระบุสัญลักษณ์ AOP (Appellation d’Origine Protégée) บนฉลากเป็นการรับประกันต้นกำเนิดและคุณภาพในระดับสูงสุด ซึ่งแน่นอนว่าโซนสุดท้าย จะให้เราได้ชิมน้ำมันมะกอกแท้ๆ พร้อมซื้อกลับบ้าน

ความพิเศษของ La Royère นอกจากน้ำมันมะกอกแล้ว เขายังเป็นผู้ผลิตไวน์คุณภาพในชื่อเดียวกัน และได้สร้างจุดเชื่อมต่อที่งดงามระหว่างศาสตร์ของไวน์และน้ำมันมะกอก ผ่านพื้นที่จัดแสดงร่วม พื้นที่ชิม และแกลเลอรี่ศิลปะเล็ก ๆ ที่จัดแสดงงานของศิลปินท้องถิ่น
6. Bonnieux & Ménerbes

สองหมู่บ้านโบราณนี้อยู่ใกล้ๆ กัน สำหรับ Bonnieux มองเห็นวิวหุบเขา Luberon กว้างไกล มีโบสถ์เก่าบนยอดเนินให้เดินขึ้นไปชมวิว และถนนลาดหินคลาสสิกที่พาให้นึกถึงยุคกลาง ส่วน Ménerbes คือหมู่บ้านเงียบสงบที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Peter Mayle เขียนหนังสือ A Year in Provence ตัวหมู่บ้านมีเสน่ห์แบบชนบทฝรั่งเศสแท้ๆ และมีไร่องุ่น Olive และ Lavender ล้อมรอบ
7. Oppède-le-Vieux
หมู่บ้านลับที่ยังคงความดิบและดั้งเดิมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขา มีโบสถ์เก่าและซากปราสาทอยู่บนยอด ให้ความรู้สึกย้อนยุคแบบแท้จริง เหมือนหยุดเวลาไว้ที่ศตวรรษที่ 12 ด้วยสถาปัตยกรรมหินเก่า ประตูไม้เก่า ๆ และเถาองุ่นที่เลื้อยปกคลุมกำแพงบ้าน ชุมชนแห่งนี้เคยถูกทิ้งร้างไปในศตวรรษที่ 20 ก่อนจะถูกค้นพบและฟื้นฟูโดยกลุ่มศิลปิน นักเขียน และสถาปนิกผู้หลงใหลในความเงียบสงบของธรรมชาติและความงามของประวัติศาสตร์

ที่นี่ไม่มีคาเฟ่ครึกครื้นหรือร้านค้าแฟนซีมากมาย แต่มีความสงบที่สัมผัสได้ และความขลังของอดีตที่ยังมีลมหายใจ ไฮไลต์ได้แก่ Église Notre-Dame-d’Alidon โบสถ์หินสไตล์โรมานสก์บนยอดเขา ให้คุณได้ชมวิวพาโนรามาของภูเขา Luberon และไร่องุ่นเบื้องล่าง, ซากปราสาท Oppède ปราสาทยุคกลางที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของป้อมปืน กำแพง และเส้นทางเดินบนหน้าผาหิน และเส้นทางเดินเขาในป่า เส้นทางเดินสู่หมู่บ้านถูกโอบล้อมด้วยต้นโอ๊ก ต้นไซเปรส และสวนมะกอก ล้วนเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับการหลีกหนีโลกยุคใหม่


8. Cucuron
นี่คือหมู่บ้านแห่งความงามที่เรียบง่ายกับสระน้ำกลางเมืองที่เหมือนฝัน จุดศูนย์กลางของหมู่บ้านคือ Bassin de l’Étang หรือ “บ่อน้ำกลางหมู่บ้าน” ซึ่งเคยเป็นบ่อเก็บน้ำในยุคกลาง ปัจจุบันกลายเป็นจุดนัดพบของคนท้องถิ่น ร้านอาหาร คาเฟ่ และตลาดนัดเกษตรกรรม คนขับรถ 2CV พาเรามาแวะจอดชมที่นี่สักครู่ แถมเขาจอดรถแบบไม่ล็อกประตูด้วย เพราะหมู่บ้านเงียบสงบและดูปลอดภัยมาก

ต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบบ่อน้ำสร้างร่มเงาเย็นสบาย และในฤดูร้อนคุณจะได้เห็นแสงแดดสะท้อนผิวน้ำ ขณะที่เสียงช้อนส้อมกระทบจานจากร้านอาหารข้างบ่อดังแผ่วเบา เป็น ภาพจำของโพรวองซ์ ที่มีชีวิตจริง
ใครรู้สึกเห็นภาพแล้วคุ้นตา ที่นี่คือโลเกชั่นถ่ายหนังเรื่อง A Good Year ด้วย นำแสดงโดย Russell Crowe ซึ่งทำให้หมู่บ้านนี้กลายเป็นความฝันของใครหลายคน ส่วนใครที่อยากเดินตลาด แนะนำให้มาเช้าวันอังคาร ตลาดท้องถิ่นจะเต็มไปด้วยผลิตผลจากไร่ ผักสด น้ำมันมะกอก ชีส และดอกไม้โพรวองซ์
9. Château Bonisson
ชาโตแห่งแรงบันดาลใจและไวน์ชั้นดี ที่นี่อยู่ใกล้ไปทางโซนเมือง Aix-en-Provence เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ควรแวะเมื่อมาเที่ยวภาคใต้ของฝรั่งเศส สถานที่แห่งนี้เป็นทั้ง ไร่องุ่นคุณภาพ ที่เปิดให้ชิมไวน์ และยังมีแกลเลอรี่ศิลปะร่วมสมัย หมุนเวียนจัดนิทรรศการจากศิลปินนานาชาติ

ตัวชาโตสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 รายล้อมด้วยไร่องุ่น ป่าไม้ และต้นโอ๊กเก่าแก่ สะท้อนความสงบแบบโพรวองซ์ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ คำว่า Bonisson มาจากคำภาษาฝรั่งเศส “bonnir” แปลว่า “พูดคุย” เพราะสถานที่แห่งนี้เคยเป็นจุดนัดพบในฤดูร้อนของผู้คนที่มาสนทนา จิบไวน์ และแลกเปลี่ยนความคิดกัน

Château Bonisson ไม่ใช่แค่ไร่องุ่น แต่เป็นแหล่งรวมของความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ และวัฒนธรรม ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่แฝงด้วยพลังแห่งความแตกต่างและเสรีภาพ — คอนเซปต์ที่เจ้าของเรียกว่า “The Fresh Perspective”

10. Rognes Lake
ไม่ไกลจากหมู่บ้าน Rognes และ Château Bonisson มี ทะเลสาบลับ ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางไร่องุ่นและเนินเขาโพรวองซ์อย่างเงียบสงบ ที่นี่เรียกกันว่า Rognes Lake แม้จะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังหรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบทะเลสาบใหญ่ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบธรรมชาติแท้ๆ น้ำใส สีเขียวมรกต ล้อมรอบด้วยต้นไม้ป่าและไร่องุ่น ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดแวะพักที่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่อยากหนีจากความวุ่นวาย มานั่งปิกนิกเงียบๆ อ่านหนังสือ หรือแค่จิบกาแฟท่ามกลางเสียงนกร้องและสายลม ในช่วงฤดูร้อน นักท้องถิ่นบางคนอาจมาแช่น้ำหรือพาสุนัขมาเดินเล่น แต่ที่นี่ไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน ทำให้บรรยากาศยังคงความดิบและเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง

ดูสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ รวมถึงวิธีการเดินทางท่องเที่ยวใน Luberon ได้ที่ https://uk.destinationluberon.com/
การเที่ยวใน Luberon สามารถหาที่พักที่สะดวกสบายในเมือง Avignon, Aix-en-Provence, Marseille หรือเมืองเล็กๆ อันแสนสงบอย่าง L’Isle sur la Sorgue