ฤดูใบไม้ผลิในเมือง L’Isle-sur-la-Sorgue ยังคงสวยงามเหมือนเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่เราเคยมาที่นี่ครั้งแรก แค่เห็นแม่น้ำไหลไปตามลำคลองที่มีอยู่ทั่วเมือง กังหันน้ำที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และร้านขายของแอนทีกและวินเทจ วีคเอนด์มาร์เก็ต กับร้านอาหาร คาเฟ่ น่ารักๆ ความทรงจำที่ประทับใจต่างๆ ก็กลับมา

สำหรับคนที่หลงรักบรรยากาศแบบโพรวองซ์ หากได้ลงมาเที่ยวทางใต้ของฝรั่งเศสตามเมืองหลักๆ อย่าง อาวิญง (Avignon) หรือเอ็กซองโพรวองซ์ (Aix en Provence) เมืองลิลส์ ซูร์ ลา ซอร์ก (L’Isle-sur-la-Sorgue) ก็เป็นอีกหนึ่ง Provençal town ที่ควรมาใช้เวลาพักค้างสักคืนสองคืน มากกว่าแค่เดย์ทริป เพื่อจะได้ดื่มด่ำธรรมชาติ ความเรียบง่าย และความสงบ ในเมืองแห่งสายน้ำที่ทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำได้แบบเต็มๆ สมฉายา ‘เวนิสแห่งโพรวองซ์’

การมาที่นี่ก็เหมือนย้อนไปในอดีต ลองนึกถึงภาพเมืองกลางน้ำอันมีชีวิตชีวา สถาปัตยกรรมโบราณสีอุ่นสะท้อนแสงแดดโพรวองซ์ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ร้านรวงที่ขายของเก่า เฟอร์นิเจอร์วินเทจ หนังสือหายาก ของแต่งบ้านที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราว และงานศิลปะ โดยเฉพาะในตลาดนัดของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศสจนกลายเป็นที่รวมตัวของเหล่านักช็อป นักสะสม ทุกวันอาทิตย์ นอกจากนี้ยังมีตลาดประจำสัปดาห์ที่เหมาะแก่การมาสำรวจและเลือกชิมอาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่น ชีส ขนมปัง เบเกอรี่ และไวน์โพรวองซ์

ครั้งนี้เรามาพักที่โรงแรมโลเกชั่นดีใจกลางเมือง L’Isle-sur-la-Sorgue เลย ชื่อว่า Grand Hôtel Henri โรงแรม 4 ดาวที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ ความงามทางสถาปัตยกรรม และการบริการที่ใส่ใจรายละเอียด โดยอาคารแห่งนี้มีอายุกว่า 230 ปี เป็นสถานที่สำคัญของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะเคยเป็นทั้งสถานที่จัดแสดงคาบาเรต์ ออแบร์จ ก่อนจะมาเป็นโรงแรม และก็เพิ่งจะได้รับการรีโนเวทแบบพลิกโฉมใหม่หมดเมื่อปี 2015 ทำให้ที่นี่กลับมามีชีวิตอีกครั้งในแบบร่วมสมัย

ตระกูล Toppin เป็นผู้ฟื้นฟูโรงแรมให้กลับมาเจิดจรัส โดย Henri Toppin ได้เข้าซื้อกิจการในปี 1969 และเปลี่ยนให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งใหม่ของภูมิภาค ต่อมาได้ส่งต่อกิจการให้แก่ลูกชาย Jack Toppin และในปัจจุบัน Julien Toppin (หลานชายของ Henri) พร้อมภรรยา Manon และหุ้นส่วน Marco De Almeida ยังคงสืบสานเจตนารมณ์การต้อนรับอย่างอบอุ่นตามแบบฉบับครอบครัว

วันที่เรามาถึง พนักงานโรงแรมบอกว่าเราโชคดีมากเนื่องจากสัปดาห์ก่อนมีพายุเข้าและฝนตกหนัก มันเพิ่งจะหยุดเมื่อวานก่อนเรามาถึงแค่วันเดียว เขาทำการอธิบายเกี่ยวกับโรงแรม ห้องอาหารเช้า และก็ยื่นกุญแจที่มีพู่ๆ แบบสมัยก่อน คลาสสิกมาก ก่อนจะมีพนักงานช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นไปให้ที่ห้องพัก เนื่องจากเป็นอาคารเก่าที่ไม่มีลิฟต์ แต่บันไดกลางโรงแรมนั้นสวยและโดดเด่น พาเรานึกถึงความสง่างามแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศสมากๆ

ทุกห้องพักของโรงแรมออกแบบในสไตล์ ‘French Chic’ ด้วยโทนสีอ่อนที่สบายตา อิงกับธรรมชาติ เน้นสีขาว สีเขียว เช่นเดียวกับสวนในบริเวณด้านนอกของอาคาร เราชอบผนังห้องพักที่เป็นลวดลายดอกไม้ มันเข้ากับแชนเดอเลียร์ และเฟอร์นิเจอร์วินเทจในห้อง ขณะที่กระเบื้องสีขาวและสีดำในห้องน้ำ มันยิ่งดูเป็นเฟรนช์สุดๆ ท่ามกลางความสะดวกสบายแบบร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำกาแฟ ทีวีจอแบน โต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า และ Free Wi-Fi

ภายในโรงแรม Grand Hôtel Henri ยังมีส่วนของร้านอาหารที่ต้อนรับทั้งแขกภายในโรงแรม และแขกทั่วไป ชื่อร้าน Le Petit Henri ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านดังของเมือง L’Isle-sur-la-Sorgue โดยเชฟโอลิวิเยร์ บูซง (Olivier Bouzon) นำเสนอเมนูที่รังสรรค์จากวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล ทั้งอาหารพื้นเมืองแบบโพรวองซ์ ไปจนถึงตัวเลือกสำหรับผู้ทานมังสวิรัติและกลูเตนฟรี หรือจะไปลิ้มรสแชมเปญ/ไวน์ท้องถิ่นในบาร์ช่วงค่ำ ก็ตกแต่งบาร์ได้สวยและมีศิลปะ เหมือนเราเดินเข้าไปในภาพวาด

ช่วงอาหารเช้า เขาก็มาพร้อมอาหารเช้าแบบคอนติเนนตัล ที่มีครัวซองต์อบสดใหม่ทุกเช้า หลายๆ คนจะเลือกไปนั่งในเทอร์เรซในสวนด้านนอก เพราะไม่มีอะไรจะดีกว่าบรรยากาศของการเริ่มต้นใหม่ของวันในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนใกล้ๆ ต้นไม้และดอกไม้สวยๆ อีกแล้วล่ะ

พักผ่อนในโรงแรมจนหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว สามารถออกไปเดินหรือขี่จักรยานเลียบไปตามแม่น้ำ เมือง L’Isle-sur-la-Sorgue เล็กนิดเดียว แต่มีตรอกซอกซอยให้สำรวจอย่างน่าสนุก และจากโรงแรมก็อยู่ใกล้ทุกอย่าง เราแนะนำให้ไปถ้ำธรรมชาติอันลึกลับอย่าง Thouzon ที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายหลักในเมือง ต่อด้วยการแวะมิวเซียม Musée La Filaventure ที่จัดแสดงเรื่องราวของโรงทอผ้า โรงงานผลิตผ้าขนสัตว์หรูระดับตำนานที่มีอายุกว่า 200 ปี สำหรับคนที่สนใจงานฝีมือ สิ่งทอ, Centre d’Art Campredon พิพิธภัณฑ์ที่จัดนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยหมุนเวียน ตั้งอยู่ในคฤหาสน์ศตวรรษที่ 18 กลางเมือง (Hôtel Donadeï de Campredon), Maison René Char บ้านเก่าของ René Char กวีชื่อดังแห่งศตวรรษที่ 20 ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินมากมายทั่วโลก ตัวบ้านจัดแสดงข้าวของส่วนตัว ต้นฉบับบทกวี และผลงานที่เกี่ยวข้องกับเขา

จากนั้นก็มาปิดท้ายวันที่ร้านอาหารสักแห่งใจกลางเมือง นั่งดูคนเดินผ่านไปมา และปล่อยใจไปกับเสียงน้ำไหล ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่มองหาสถานที่แสนโรแมนติก คนทำงานสร้างสรรค์ที่ต้องการแรงบันดาลใจ หรือนักเดินทางที่อยากสัมผัสชีวิตแบบฝรั่งเศสแท้ๆ L’Isle-sur-la-Sorgue คือเมืองเล็กที่มอบความสุขสงบให้เราได้แบบเต็มพื้นที่มากๆ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Grand Hôtel Henri ได้ที่ www.grandhotelhenri.com/en/ และดูข้อมูลการเดินทาง รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวได้ที่ https://uk.destinationluberon.com/

Leave a Reply