การมา staycation 2 วัน 1 คืนครั้งนี้ เราอยู่กันในกรุงเทพฯ ในย่านที่คุ้นเคยอย่างทองหล่อนี่เอง นี่คือโรงแรม InterContinental Bangkok Sukhumvit ที่เพิ่งจะเปิดตัวใหม่เมื่อปลายปี 2566 ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท 59 ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ

ปกติแล้ววันธรรมดา บนถนนสุขุมวิทรถจะติดหนักแค่ช่วงเย็น พอเราขับมาในช่วงกลางวัน แถมเป็นโซนที่เลยออกมาจากโซนวุ่นวายของสุขุมวิทด้วยแล้ว การจราจรก็คล่องตัวขึ้นมาพอสมควร และทางโรงแรมก็มีระบบจอดรถแบบ auto parking ไว้ให้ สำหรับมือใหม่หรือคนที่ของเยอะอาจจะรู้สึกลำบากนิดหน่อย แต่สำหรับเรา พนักงานเข้ามาช่วยจัดการหยิบสัมภาระและดูแลเรื่องการจอดรถให้ ก็ถือว่าค่อนข้างสะดวกสบาย

สิ่งแรกที่ประทับใจเมื่อเดินเข้าไปล็อบบี้คือการตกแต่งที่สวยหรูดูแพงแต่ก็รู้สึกผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าคอนเซ็ปต์การออกแบบของโรงแรมอินเตอร์คอนฯแต่ละที่ เขาจะดึงเอาเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ ออกมานำเสนอในแบบร่วมสมัย อย่าง InterContinental Bangkok Sukhumvit ตั้งอยู่ในย่านทองหล่อใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งมีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มาก และเป็นย่านฮิปเต็มไปด้วยร้านอาหารชื่อดังมากมาย การตกแต่งจึงผสมผสานทั้งความเป็นไทย และเสริมกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นนิดๆ

ความเป็นไทยที่ว่านี้ เขามีการนำวัฒนธรรมของช่าง 10 หมู่มาประยุกต์ โดยเฉพาะศิลปะการทอผ้า เช่น ลายผ้าดอกจิก เส้นด้าย และกระสวย ซึ่งเราจะเห็นได้ทุกที่ไม่ว่าจะล็อบบี้หรือในห้องพัก เมื่อบวกกับเส้นสายบนพื้น และสีของเฟอร์นิเจอร์ ก็ยิ่งให้ความรู้สึกหรูหราแต่อบอุ่น

การเข้าพักครั้งนี้เราได้ club lounge access ด้วย ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก IHG One Rewards ของเครือโรงแรม IHG พนักงานจึงพาเราขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 31 เพื่อเช็คอินแบบไพรเวทใน Club InterContinental ซึ่งเงียบสงบกว่า มีความเป็นส่วนตัว และยังมีเวลคัมดริงค์ให้เลือกหลากหลาย จะเป็นชา กาแฟ หรือจะเป็นแชมเปญ ไวน์ก็ยังได้

สำหรับแขกคนพิเศษของ Club InterContinental ทางโรงแรมนำเสนอเซ็ตน้ำชายามบ่ายพร้อมของว่างให้ด้วย ก่อนจะต่อด้วย Evening cocktails ให้เราเอนจอยเครื่องดื่มเคล้าบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตก โดยเขาภูมิใจนำเสนอ Thonglor Sunrise และ Thonglor Sundown ซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะสำหรับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท เท่านั้น

Thonglor Sunrise และ Thonglor Sundown

ห้องพักของ InterContinental Bangkok Sukhumvit มีทั้งหมด 241 ห้อง แบ่งเป็นห้องสวีทไปจนถึงห้อง Presidential Suite ที่มีพื้นที่ใหญ่สุดถึง 200 ตารางเมตร สำหรับห้องพักของเราอยู่ที่ชั้น 16 ก็ถือว่าสูงแบบที่เอนจอยวิวเมืองกรุงเทพฯได้กว้างมาก เห็นตึกเยอะแยะผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่สูงตั้งแต่เพดานจรดพื้น โดยเฉพาะตึก T One Building ที่มีบาร์เก๋อย่าง Tichuca อยู่ด้านบน

ในห้องพักตกแต่งด้วยผ้าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่ผนัง ที่หัวเตียง หรือพรมที่พื้น นอกจากจะดูเรียบหรูแล้ว มันยังช่วยในเรื่องการเก็บเสียง ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงรบกวนทั้งจากห้องข้างๆ หรือจากภายนอกตึก ทั้งที่มันตั้งอยู่ริมถนน แถมติดกับรางรถไฟฟ้าด้วย เชื่อว่าหลายคนที่มีคอนโดริมถนนหรือเคยไปพักโรงแรมติดถนนบางแห่งที่ใช้วัสดุธรรมดาทั่วไป จะเจอปัญหาการนอนไม่หลับและเสียงรบกวนเป็นประจำ จุดนี้เลยเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ พอทิ้งตัวลงเตียงคิงไซส์ที่นุ่มสบายแบบดูดวิญญาณด้วยแล้ว ยิ่งหลับสนิทฝันดีไปเลย

เขามี free mini-bar ให้เราไม่อั้น มีโต๊ะให้นั่งทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นมุมนั่งทานอาหารก็ได้ มีโซฟาให้เอนหลัง และทีวีจอใหญ่ และที่สำคัญห้องน้ำกว้างมาก มาพร้อม amenities แบรนด์หรูจากยุโรป ไบรีโด (Byredo) ตามมาตรฐานของโรงแรม InterContinental และบริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อถึงเวลาดินเนอร์ เราไปที่ห้องอาหาร เอวา บราสเซอรี (AVA Brasserie) ที่ชั้น 4 ของโรงแรม ซึ่งเป็นแบบ all day dining เขาตกแต่งน่ารักด้วยโทนสีแบบละมุนๆ ยิ่งได้รู้ที่มาของชื่อร้านยิ่งเพิ่มความน่ารักขึ้นไปอีก เพราะคำว่า AVA มาจาก Aviation หมายถึงการเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะคอนเซ็ปต์ของห้องอาหารแห่งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสายการบินในตำนานอย่าง Pan Am

AVA Brasserie

ผู้อยู่เบื้องหลังเมนูอาหารของ AVA Brasserie คือ เชฟโรแบร์โต แบลลิตติ (Roberto Bellitti) ผสมผสานรสชาติอาหารแบบอิตาเลียนต้นตำรับ กับประสบการณ์การเดินทางไปยังมุมต่างๆ ของโลก เช่น ฟิชแอนด์ชิปส์จากลอนดอน ชิชารอนจากไมอามี่ สเต็กสไตล์นิวยอร์ก ข้าวซอยปูนิ่มจากกรุงเทพฯ เป็นต้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวานอย่างมูสข้าวเหนียวมะม่วง อีตันเมสพาร์เฟต์เสิร์ฟพร้อมเบอร์รี่สด และชีสเค้กยูซุ ร้านเปิดตั้งแต่ 06:00 – 22:00 น.

ช่วงค่ำเราไปต่อกันที่ Rogues bar ชั้น 2 สปีกอีซี่บาร์เคล้าเสียงดนตรีแจ๊ซ ในบรรยากาศสลัวๆ แต่ดูมีเสน่ห์ลึกลับ เสริมความคลาสสิกด้วยลำโพงวินเทจและเปียโน พร้อมเสิร์ฟค็อกเทลที่น่าสนใจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Salute to the world ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปาร์ตี้สุดอลังการในแบบฉบับของเจ้าพ่อสายปาร์ตี้อย่าง Jay Gatsby แต่ที่เราชอบชื่อมากๆ เลยก็คือ I’m in the mood for love รวมไปถึง Thonglor dessert ที่ผสานกลิ่นอายของย่านทองหล่อลงไปด้วย

Rogues bar
Signature cocktail and mocktail

เช้าวันรุ่งขึ้น สำหรับแขก VIP สามารถเลือกได้ว่าจะไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร AVA Brasserie หรือที่ Club InterContinental ซึ่งเราอยากจะรับแสงธรรมชาติในตอนเช้าและเอนจอยวิวเมือง เราก็เลยเลือกมาที่ Club InterContinental เขามีขนมปังให้เลือกเยอะมาก และยังสามารถสั่งเพิ่มเติมจากเมนูได้ด้วย

มุมอาหารเช้าที่ Club InterContinental

นอกจากเมนูพื้นฐานอย่างไส้กรอก แฮม เบคอน แพนเค้ก และโยเกิร์ตแล้ว แนะนำให้ลองเมนูไข่ที่เขามีหลากหลายแบบตามสไตล์เมนูไข่ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม อย่าง shakshuka ชักชูกาหรือไข่กระทะของอิสราเอล หรือแม้แต่ไข่เจียวปูแบบไทยๆ ไข่ตุ๋นแบบญี่ปุ่น เป็นต้น

จากนั้นเราแนะนำให้ทุกคนขึ้นไปที่สระว่ายน้ำซึ่งแม้จะเป็นอินดอร์ แต่ลมพัดโปร่งโล่งสบาย แถมได้เห็นวิวของกรุงเทพฯ ในมุมกว้าง เหมาะกับการขึ้นมาในช่วงเช้าหรือพระอาทิตย์ตก และใกล้ๆ กันก็ยังมีฟิตเนสเปิดตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้ง THE SPA by HARNN สปาที่ได้แรงบันดาลใจจากการผสมผสานอันงดงามระหว่างประเพณีญี่ปุ่นและไทย ด้วยสปาทรีตเมนต์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งพฤกษศาสตร์ของธรรมชาติ

นับว่าเป็นการมาพักผ่อนที่สบายและครบครันสมมาตรฐานของโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ยิ่งการจองพักแบบรวม club lounge access มาด้วยนั้น เราว่าคุ้มมากๆ ครั้งหน้าที่เราอยากจะ staycation แบบไม่ต้องเดินทางไปไหน อินเตอร์คอนฯคือตัวเลือกที่เราจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เลย

ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.intercontinental.com/bkksukhumvit

นักเขียน/นักดนตรี ที่นอกจากเล่นเชลโลแล้ว ยังชอบออกเดินทางคนเดียวอยู่เสมอๆ มิวเซียม ตลาดของเก่า ร้านกาแฟ และเมืองที่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมเก่าแก่คือสถานที่ที่เธอชอบไป

Leave a Reply