อินซ์บรูค (Innsbruck) เมืองหลวงของรัฐทิโรล (Tyrol) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังอีกเมืองหนึ่งของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก ไม่ไกลจากเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น Capital of Alps เพราะเป็นจุดพักระหว่างการเดินทางบนเทือกเขาแอลป์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนในอินซ์บรูคก็จะมองเห็นเทือกเขาแอลป์ได้ตลอดเวลาเพราะมันล้อมรอบเมืองอยู่ ในหน้าหนาวผู้คนมักจะมาเล่นสกี ส่วนหน้าร้อนก็จะนิยมมา hiking ปิกนิก แล้วก็เดินเล่นในย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนสีพาสเทล สวยงามตามสไตล์ของสถาปัตยกรรมยุคบาโรก

เราเดินทางจากเมืองซาลส์บูร์ก (Salzburg) โดยรถไฟ Regional Express ที่สถานี Salzburg Hbf ยิงตรงมาถึงสถานี Innsbruck Hbf ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 48 นาที

เช็คเวลาและซื้อตั๋วรถไฟได้ที่ https://www.thetrainline.com/

Innsbruck Card บัตรท่องเที่ยวอินซ์บรูค เข้าสถานที่เที่ยวได้หลายแห่ง และเดินทางในเมืองไม่จำกัดเที่ยว

เราแนะนำให้ทุกคนซื้อบัตรท่องเที่ยว Innsbruck Card เพราะนอกจากจะใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งได้ฟรี ทั้งพระราชวัง มิวเซียมกว่า 22 แห่ง ขึ้นเคเบิ้ลไปยอดเขา เข้าชม Swarovski Crystal World นั่งรถ sightseer hop-on-hop-off bus แล้วก็ยังใช้โดยสารรถสาธารณะในเมืองได้ฟรีแบบ unlimited ตามจำนวนชั่วโมงที่เราซื้อไว้ ได้แก่ 24 ชั่วโมง (53 euro) 48 ชั่วโมง (63 euro) และ 72 ชั่วโมง (73 euro) สามารถหาซื้อได้ที่ Tourist Information Centre ตามรีเซปชั่นโรงแรม ในมิวเซียมใหญ่ๆ ร้านขายบุหรี่ที่สนามบิน หรือสั่งออนไลน์ง่ายๆ ที่นี่ https://www.innsbruck-shop.com/en/innsbruck-cards

สั่งซื้อ Innsbruck card ทางออนไลน์ง่ายๆ ที่นี่ https://www.innsbruck-shop.com/en/innsbruck-cards

พกบัตรนี้ติดตัวไว้เสมอเพื่อแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตามสถานที่ท่องเที่ยว บัตรจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้บัตร คุ้มค่ามากมายแถมง่ายกับชีวิตด้วยค่ะ ไม่ต้องคอยยุ่งยากซื้อตั๋วเดินทางอะไรอีกเลย

อากาศในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม กำลังเย็นสบาย ค่อนไปทางร้อนนิดหน่อยในช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ บนภูเขาไม่ค่อยเหลือร่องรอยของหิมะแล้ว เราเริ่มออกสำรวจเมืองในย่านเมืองเก่าก่อน ด้วยการเดินไปเรื่อยๆ จากโรงแรม เราพบว่าอินซ์บรูคเป็นเมืองเล็ก และดูปลอดภัยกว่าซาลส์บูร์กประมาณหนึ่ง เพราะเรายังไม่เห็นโฮมเลสเลย และเมืองค่อนข้างสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย และการเดินทางในตัวเมืองสะดวกสบายมาก

เดินชิลในย่านเมืองเก่า สำรวจสถาปัตยกรรมบาโรก และบ้านสีลูกกวาด

สถาปัตยกรรมที่นี่สวยจริงๆ ค่ะ มันมีความขลังด้วยอายุที่เก่าแก่ ดูใหญ่โตโอ่อ่า แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความน่ารัก ด้วยสีสันต่างๆ และแดดแบบนี้ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูสดใส ผู้คนจึงออกมานั่งตามร้านกาแฟและน้ำพุกันเต็มไปหมด

Triumphal Arch, Innsbruck

จุดที่เราควรเดินไปดูสถาปัตยกรรมในย่านเมืองเก่า เริ่มจากประตูชัยอินซ์บรูค (Triumphal Arch, Innsbruck) ประตูชัยโรมันสองฝั่งเหนือและใต้ที่พระนางมาเรีย เทเรซ่า จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิโรมันช่วงศตวรรษที่ 18 โปรดให้สร้างขึ้นสำหรับวาระงานแต่งงานของลูกชาย แต่ไม่นานพระนางก็สูญเสียสามี มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและความเศร้า

Goldenes Dachl

แลนด์มาร์กต่อมาก็คือตึกที่มีหลังคาสีทอง Goldenes Dachl อายุกว่า 500 ปี หลังคาสไตล์โกธิคผสมบาโรกนี้ใช้กระเบื้องทองแดงปิดทองจำนวนเกือบสามพันแผ่น สร้างโดยพระประสงค์ของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียน (Emperor Maximilian) ผู้โปรดปรานการยืนชมวิว การแข่งขัน หรืองานเทศกาลต่างๆ ที่ระเบียง ใครอยากขึ้นไปถ่ายรูป สามารถเดินขึ้นบันไดไปยังหอ Stadtturn ได้ เปิดตั้งแต่ 10.00-20.00น. แต่ถ้าอยากชมอาคารบ้านเรือนที่เป็นสีพาสเทล เราต้องเดินไปตรงสะพานอินซ์บรูค ที่ทอดผ่านแม่น้ำอินน์ (Inn river) ถึงจะเจอกับมุมถ่ายรูปแบบในโปสการ์ดที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ค่ะ และสะพานตรงนี้นี่เองที่เป็นที่มาของชื่อเมือง ‘Innsbruck’ ซึ่งแปลว่า ‘สะพานข้ามแม่น้ำอินน์’

บ้านสีลูกกวาดและแม่น้ำอินน์ (Inn river)

ไม่ไกลจาก Golden roof เราจะเจอกับมหาวิหารประจำเมืองสไตล์บาโรก Dom zu St. Jakob โดดเด่นด้วยหอคอยคู่ ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขตเมืองเก่า ด้านในมีภาพวาดฝาผนังของศิลปินชาวเยอรมัน Lucas Cranach ก่อนจะเดินต่อไปยัง Hofburg Palace และ Hofkirche Court Church ซึ่งเป็นอีกแห่งที่พลาดไม่ได้ เพราะถือเป็น 1 ใน 3 อาคารทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในประเทศออสเตรีย (อีกสองแห่งคือพระราชวัง Hofburg และพระราชวัง Schönbrunn ในกรุงเวียนนา) โดยเขาจะเปิดให้ชมทุกวัน 9.00-17.00น.

มหาวิหารประจำเมืองสไตล์บาโรก Dom zu St. Jakob
Hofburg Palace

ขึ้นยอดเขาสูงสุด Innsbruck summit

ไฮไลท์ของการมาเที่ยวอินซ์บรูค คือการขึ้นยอดเขานอร์ดเคทเทอ (Nordkette) เพื่อมาชมวิวของเมืองอินซ์บรูคทั้งเมือง แล้วก็พบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แบบที่เขากล่าวไว้เลยว่าเหมือนถูกภูเขาโอบกอด มันเป็นแบบนี้นี่เอง อากาศข้างบนบริสุทธิ์มากๆ เราอยากจะกักเก็บลมหายใจได้ เอาไว้กลับมาหายใจต่อตอนอยู่กรุงเทพฯ จัง

อย่าลืมพกบัตร Innsbruck card มาด้วย เพราะขึ้นฟรีผ่านหมดทุกด่าน โดยไม่ต้องไปติดต่อ Ticket counter ใดๆ สามารถใช้บัตรนี้แตะที่ประตูช่องทางเข้าได้เลย มันคุ้มมากจริงๆ เพราะไม่งั้นเราต้องจ่ายค่าเคเบิ้ลคาร์ขึ้นยอดเขา ราคาไปกลับตั้ง 34.50 euro ต่อคน

สถานีขึ้นเคเบิ้ลคาร์เพื่อไปยังยอดเขา Nordkette

การเดินทางจะเริ่มที่สถานี Hungerburgbahn Station Congress เพื่อขึ้นเคเบิ้ลคาร์มาแวะสถานี Hungerburg ที่หน้าตาโมเดิร์นหน่อย ออกแบบโดย Zaha Hadid สถาปนิกชื่อดัง ต่อด้วยสถานี Seegrube มีร้านอาหารวิวปังและลานสกี แล้วก็ขึ้นยอดสุดที่สถานี Hafelekarspitze ซึ่งแนะนำว่ายังไงมาถึงอินซ์บรูคแล้ว ต้องมาถึงยอดเขาสูงสุดให้ได้ค่ะ หน้าหนาวมันคงจะหนาวน่าดู เพราะขนาดหน้าร้อน เวลามีลมพัดมา ก็ยังหนาวขนลุกเหมือนกัน ยังไงต้องเตรียมแจ๊กเก็ตมาด้วยนะ

ร้านอาหารบนสถานี Seegrube
วิวเมือง Innsbruck ที่มองลงไปจากภูเขา Nordkette

วันที่สองในอินซ์บรูคกับการเที่ยวชมเมืองด้วย sightseer Innsbruck hop-on-hop-off bus

วิธีที่ง่ายที่สุดคือเราสามารถไปขึ้นรถ sightseer ได้ที่สถานีรถไฟ Innsbruck Hbf ซึ่งมันจะมีช่องจอดรถบัสหลายๆ ช่องอยู่ด้านหน้าสถานีเลย รถจะสีแดง และหน้าตาเหมือนรถเมล์แหละค่ะ แต่มีคำว่า sightseer อยู่ด้านหน้ารถ มันจะพาเราไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในเมืองอินซ์บรูค เราจะขึ้นลงกี่รอบตรงไหนก็ได้ตราบเท่าที่บัตร Innsbruck card ของเรายังไม่หมดเวลา เช็คตารางเวลาของรถได้ที่ https://www.innsbruck.info/sehenswuerdigkeiten/sightseeing/sightseer.html

สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อบัตร Innsbruck Card และต้องการซื้อเฉพาะตั๋วรถ sightseer Innsbruck hop-on-hop-off bus ราคาตั๋วผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 20 euro (เพราะฉะนั้นเราแนะนำให้ซื้อ Innsbruck card เถอะ มันคุ้มกว่าเยอะ)

นี่ก็คือสถานที่ไฮไลท์ที่เรานั่งเจ้ารถบัสคันแดงนี้ไปเที่ยวค่ะ

10.00 ขึ้นรถ Sightseer ที่ด้านหน้าสถานีรถไฟ Innsbruck Hbf

10.30 Ambras Castle

11.50 ขึ้นรถ Sightseer bus ไปยัง Bergisel Ski Jump

12.02 ถึง Bergisel Ski Jump และ Tirol Panorama Museum

Ambras Castle
Spanish Hall ใน Ambras Castle

Ambras Castle หรือ Schloss Ambras อยู่ห่างจากใจกลางอินซ์บรูคไปประมาณ 20 นาที ปราสาทอัมบราสแห่งนี้คือภาพที่เราเห็นอยู่ในหน้าเว็บไซต์การท่องเที่ยวอินซ์บรูค และหน้าปกของหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของเมือง แสดงว่าเราพลาดไม่ได้เลยเชียว เป็นสถาปัตยกรรมเรอเนสซองส์ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เคยเป็นที่พำนักของเหล่าเคานต์แห่งอันเดคส์ ด้านในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของราชวงศ์ เครื่องแต่งกายของราชวงศ์และบรรดานักรบในสมัยก่อน โดยเฉพาะใน Chamber of Arts and Curiosities จะจัดแสดงของมีค่าต่างๆ จากทั่วโลกที่เฟอร์ดินานด์เก็บสะสมมาตลอด ก่อนจะมาชม Spanish Hall เป็นโถงใหญ่ มีกระเบื้องปูพื้นที่วิจิตรสวยงาม รวมถึงเพดานไม้แกะสลักประณีต ในโอกาสสำคัญๆ ที่นี่ใช้เป็นสถานที่แสดงดนตรี ซึ่งเราสามารถดูรายละเอียดโปรแกรมการแสดงได้ที่ด้านหน้าทางเข้า

Bergisel Ski Jump ออกแบบโดย Zaha Hadid
Bergisel Ski Jump

Bergisel Ski Jump (แบร์คอีเซิลชันเซอ) คือสนามกีฬากระโดดสกีขนาดใหญ่ที่สร้างแล้วเสร็จในปี 1930 และเคยใช้เป็นสนามแข่งในช่วงโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวที่ออสเตรียเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2012 และตอนนี้ก็กลายเป็นแลนด์มาร์กหนึ่งของเมือง ด้วยลักษณะของสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น จนได้รับรางวัล Austrian State Prize ด้านสถาปัตยกรรมในปี 2002 เราสามารถกดลิฟต์ขึ้นไปด้านบนและเอนจอยวิวที่สวยงามของเมืองได้ด้วย

จุดชมวิวที่ด้านหน้า Panorama Museum
จุดชมวิวภายใน Tirol Panorama Museum

Tirol Panorama Museum พิพิธภัณฑ์ทิโรล พาโนรามา บอกเล่าเรื่องราวของชาวทิโรล ชนชาติดั้งเดิมของแคว้นทิโรล ไฮไลท์ด้านในคือภาพสีน้ำมันแห่งทิโรลที่ใหญ่ที่สุด เป็นภาพวาดบนผืนแคนวาสในมุมมองแบบ 360 องศา ขนาดกว่า 1,000 ตารางเมตร แล้วจะมีห้องจัดแสดงหนึ่งของ Tyrolean Imperial Infantry ที่มีบานกระจกใหญ่ ตรงนั้นจะเห็นวิวเมืองและเทือกเขาแบบเต็มตา สวยงามมากๆ

ชมการแสดงพื้นเมือง Tiroler Abend พร้อมทานอาหารเย็น

หากอยากสัมผัสวัฒนธรรมทิโรลมากขึ้น เราแนะนำให้มาชมการแสดง Tyrolean Evening Show โดย Gundolf Family สถานที่จัดแสดงอยู่ในอาคาร Alpensaal an der messe (expo) ซึ่งเดินได้จากใจกลางเมือง 10 นาที หรือนั่งรถแทรมสาย 1 โดยเขาจะเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองแล้วก็เครื่องดื่มในระหว่างชมการแสดงไปด้วย

Tiroler Abend

ทั้งการร้องเพลงและการทำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ เรียกว่า ‘yodelling’ ซึ่งสมัยก่อนเขาเอาไว้ใช้ส่งเสียงเรียกกันในฟาร์มตามภูเขา การบรรเลงดนตรีที่ฟังสบายแบบที่ชาวทิโรลเคยเอาไว้เล่นกันหลังจากเลิกงานในฟาร์มแล้วด้วยกีตาร์คลาสสิก ดับเบิ้ลเบส ฮาร์ป แอคคอร์เดียน ไปจนถึงการสร้างเสียงดนตรีด้วยแก้วใส่น้ำ กระดิ่ง หรือแม้แต่เลื่อย ต่อด้วยการเต้นสนุกๆ folk dance ที่จะมีเสียงรองเท้ากอบแกบกระทบกับเวที เรียกว่า shoe-slapping ซึ่งทุกคนจะแต่งกายมาในชุดพื้นเมืองของทิโรลจริงๆ ครอบครัวนี้เขาทำการแสดงมาตั้งแต่ปี 1967 เลยทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงในช่วงอาหารเย็นที่ควรค่าแก่การได้มาสัมผัสประสบการณ์สักครั้ง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tiroler-abend.com/en/

โลกแห่งคริสตัลที่บ้านเกิดของแบรนด์ Swarovski

ถ้ามาเที่ยวเมืองอินซ์บรูคแล้ว ยังไงต้องไม่พลาด มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์สวารอฟสกี้ด้วย แต่มันจะอยู่ในเมือง Wattens ห่างจากอินซ์บรูคประมาณครึ่งชั่วโมง มีรถชัตเติ้ลบัสให้บริการจากสถานี Innsbruck Hbf

ด้านหน้าทางเข้า Swarovski exhibition

แดเนียล สวารอฟสกี้ (Daniel Swarovski) ก่อตั้งบริษัทเจียคริสตัลของเขาที่เมืองวัตเตนส์แห่งนี้เมื่อปี 1895 เขาไม่ได้มองคริสตัลเป็นแมตทีเรียล แต่เป็นแรงบันดาลใจ ด้วยวิสัยทัศน์นี้จึงมีการสร้าง Swarovski Kristallwelten (แปลว่าคริสตัลเวิลด์ของสวารอฟสกี) ขึ้นและเปิดให้บริการในปี 1995 เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท โดยมีอองเดร เฮลเลอร์ (Andre Heller) ศิลปินหลากสื่อ เป็นผู้ออกแบบสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ด้านนอกมีไจแอนท์ที่ทำเป็นน้ำพุ สัญลักษณ์อันโดดเด่น โดยมีสวนคริสตัลอยู่รายรอบ เข้าไปเดินเล่นได้ ตกแต่งด้วย Crystal Cloud ที่ทำจากคริสตัลกว่า 600,000 ชิ้น ส่วนด้านในแบ่งเป็นห้องจัดแสดงต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวของคริสตัลสวารอฟสกี้ แตกต่างธีมกันไป

ภายในห้องจัดแสดง The Art of Performance

ห้องที่เราชอบที่สุดคงเป็นห้อง The Art of Performance ห้องใหม่ที่บอกเล่าการนำคริสตัลสวารอฟสกี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกแห่งเอนเตอร์เทนเมนต์ ทั้งเครื่องแต่งกาย เวที แบ็กดร็อป หรือแม้แต่พร็อพหลายๆ ชิ้นที่ใช้ในการแสดงระดับโลก ผลงานของการออกแบบของเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังที่ร่วมงานกับสวารอฟสกี้ โดยห้องนี้ก็ได้ wardrobe designer อย่าง Michael Schmidt มาคิวเรทสิ่งของล้ำค่าต่างๆ และมี Derek Mclane นักออกแแบบฉากมือรางวัลมาเป็นผู้ออกแบบพื้นที่

ของชิ้นสำคัญๆ ก็อย่างเช่น สลิปเปอร์ทับทิมของ Dorothy ถุงมือของ Michael Jackson และชุดเสื้อผ้าของ Simone Biles ซึ่งล้วนมีคริสตัลสวารอฟสกี้เป็นส่วนประกอบ เพื่อเฉิดฉายเปล่งประกายความเป็นตัวตนของพวกเขา นอกจากนี้ก็ยังมี Birthday Dress ของ Marilyn Monroe ต่อด้วยชุดและเอ็กเซสเซอรีส์ต่างๆ ของศิลปินชื่อดังอย่าง เลดี้ กาก้า บียอนเซ่ เคธี เพอร์รี่ เอลตัน จอห์น เป็นต้น

ในส่วนท้ายจะมี Swarovski Kristalwelten Store ให้เราได้ช็อปปิ้งโปรดักต์ของสวารอฟสกี้กันด้วย ตั้งแต่นาฬิกา อัญมณี เอ็กเซสเซอรี่อย่างสร้อย ต่างหู แหวน ฯลฯ และเมื่อเดินออกไปด้านนอก ก็จะพบกับร้านอาหาร Daniels Kristallwelten บรรยากาศดีมากๆ อยากให้ทุกคนได้ลองมาชิมทั้งอาหารและบรรยากาศ ไม่ว่าจะมาฤดูไหนก็สวยค่ะ

ร้านอาหาร Daniels Kristallwelten

Swarovski Kristallwelten เปิดทุกวัน 9.00-19.00น. (last entry 18.00) ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://kristallwelten.swarovski.com/

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวใน Innsbruck ได้ที่ https://www.innsbruck.info/en/ และการท่องเที่ยวออสเตรียได้ที่ https://www.austria.info/en

Leave a Reply