ฉันคือคนส่วนน้อยที่เลือกจะมาเที่ยว Lake Garda ก่อน Lake Como ทะเลสาบการ์ดาของอิตาลีอยู่ในแคว้นลอมบาร์เดีย (Lombardy) ที่เดินไปทางไหนก็แทบไม่เจอคนเอเชียเลย มีแต่คนอิตาเลียนท้องถิ่นแล้วก็คนยุโรปชาติอื่นๆ มาพักผ่อนกันในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว ปิกนิก ขี่จักรยาน และบ้างก็จูงสุนัขมาเดินเล่น

Lake Garda ทะเลสาบที่ Gustav Klimt หลบมาพักใจเมื่อร้อยปีก่อน

ย้อนกลับไป 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จัก Lake Garda เลยด้วยซ้ำ ฉันได้ยินชื่อมันครั้งแรกในภาษาเยอรมัน-ออสเตรีย ‘Gardasee’ จากตอนไปเที่ยวออสเตรียในเมือง Attersee ซึ่งเป็นเมืองทะเลสาบเหมือนกัน อยู่ไม่ไกลจาก Hallstatt แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างกันมาก มีความเงียบสงบและสวยราวกับภาพวาด จนศิลปินอาร์ตนูโวชื่อดังชาวออสเตรีย กุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) เจ้าของภาพวาด ‘The Kiss’ ใช้เป็นสถานที่หลีกหนีความวุ่นวายจากสังคม ปลีกตัวมาอยู่กับธรรมชาติและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะมากมายขึ้นที่นี่ เช่นเดียวกับ Gardasee ในอิตาลี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทะเลสาบสุดโปรดของเขาในช่วงฤดูร้อน นั่นคือแรงบันดาลใจให้นักเดินทางอย่างเราอยากมาเห็นบ้างว่าทะเลสาบนี้สวยแค่ไหน ทำไมศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ถึงตกหลุมรัก

Malcesine – เมืองที่ปรากฏในฝีแปรงของ Klimt

Gardasee หรือที่เรียกในภาษาอิตาเลียนว่า Lago di Garda อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี ระหว่างมิลานกับเวนิส อยู่ไม่ไกลจากประเทศออสเตรีย ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กุสตาฟ คลิมต์ เดินทางหนีเมืองใหญ่อย่างกรุงเวียนนา มาแสวงหาความสงบและหาแรงบันดาลใจทางศิลปะ ทะเลสาบการ์ดาก็เป็นหนึ่งในจุดหมายที่เขาเลือก เขามาพักที่โรงแรมทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ ในเมืองที่ชื่อ มาลเชซิเน (Malcesine) ซึ่งมีถนนหินโบราณ ปราสาทเก่าแก่ และวิวทะเลสาบที่สวยเกินจะบรรยาย

เขามักเดินเล่นไปตามเนินเขา แล้วก็พูดคุยกับธรรมชาติในความเงียบ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาด หนึ่งในผลงานนั้นก็คือ ภาพทิวทัศน์ Malcesine on Lake Garda ในโทนเขียว-ฟ้า สบายตา เห็นความระยิบระยับของผิวน้ำเวลาต้องแสงแดด มีบ้านเมืองริมทะเลสาบซ้อนตัวกันอยู่ใต้เนินเขา พร้อมปราสาทเก่าแก่ตั้งตระหง่านที่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ นั่นคือ Castello Scaligero di Malcesine

สไตล์การวาดภาพแลนด์สเคปของคลิมต์ มันดูละมุนอุ่นใจ แฝงด้วยความเศร้านิดๆ ต่างจากภาพวาดผู้หญิงอย่าง The Kiss หรือ Portrait of Adele Bloch-Bauer เขาถ่ายทอดธรรมชาติด้วยความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ผสมผสานเทคนิคแบบอิมเพรสชันนิสม์เข้ากับโทนสีสไตล์ของเขา ซึ่งพอเรามาถึงสถานที่จริง เราก็รู้เลยว่าโทนสีเหล่านั้นมาจากไหน เป็นภาพที่เก็บด้วยดวงตาได้ชัดเจนและสวยงามกว่าในมือถือหรือกล้องถ่ายรูปซะอีก

น่าเสียดายที่ภาพวาด Malcesine on Lake Garda สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะถูกเผาไหม้ในไฟสงครามที่ออสเตรีย แต่เรายังสามารถนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นเขา Monte Baldo เพื่อชมวิวแบบเดียวกับที่คลิมต์เคยเห็น หรือเดินเล่นริมทะเลสาบในยามเย็น เพื่อเข้าใจว่าทำไมศิลปินคนหนึ่งถึงได้ตกหลุมรักที่นี่

การเดินทางมายัง Lake Garda

ทะเลสาบการ์ดาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี และมีหลายหมู่บ้านกระจายตัวกันอยู่ มีโรงแรม/รีสอร์ทสวยๆ หลายแห่ง ถ้าเป็นไปได้ควรมาค้างสัก 2 คืนและใช้ชีวิตช้าๆ แบบชาวอิตาเลียนจะเพอร์เฟ็กต์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าราคาที่พักค่อนข้างสูงเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว แถมช่วงวีคเอนด์ในฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) โรงแรมเต็มเร็วมาก ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือน

อีกวิธีสำหรับการเซฟงบ คือไปพักที่เมืองใกล้เคียงอย่าง Brescia, Verona หรือ Venice แล้วนั่งรถไฟมาเที่ยวที่นี่ก็สะดวกเหมือนกัน ลงสถานี Desenzano del Garda จากตรงนั้นจะเดินสำรวจเมืองใกล้ๆ หรือนั่งรถบัสไปในหมู่บ้านอื่นๆ รอบทะเลสาบก็แล้วแต่ความชอบ โดยแต่ละเมืองจะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป บางเมืองเด่นเรื่องกิจกรรมทางน้ำ บางเมืองเหมาะกับการเดินชมตลาดเก่า ๆ หรือจิบไวน์ริมทะเลสาบ

การเช่ารถขับเป็นวิธีที่สะดวกดี เพราะว่าไม่ต้องรอรถเมล์นาน (อย่างที่รู้กันว่ารถเมล์ในอิตาลี เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าอยากจะกำหนดเวลาการเดินทางได้ รถเมล์ไม่เหมาะแน่ๆ) แต่ที่จอดรถยนต์ก็หายากมากจริงๆ บางทีต้องจอดไว้ในลานจอดที่ไกลจากจุดท่องเที่ยวหลายกิโล แล้วก็ต้องนั่งรถชัตเทิลบัสต่ออยู่ดี และบางช่วงโดยเฉพาะในเมืองเก่า ถนนค่อนข้างแคบ ขับยาก

Desenzano del Garda – เมืองใหญ่ที่สุดริมทะเลสาบ

เรามาเริ่มกันที่เมืองที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟที่สุด เดเซนซาโน เดล การ์ดา บรรยากาศคึกคัก มีตลาดขายอาหาร ขายของที่ระลึก เต็มไปด้วยคาเฟ่ บาร์ ร้านอาหารบรรยากาศดี และหลายร้านก็เปิดให้บริการจนถึงดึก บาร์เปิดเพลงหลากหลาย มีทั้งดนตรีสดชิลๆ ไปจนถึงอิเล็กทรอนิกส์ให้คนมาเต้นกันสนุกสนาน ส่วนเราขอมายืนดูพระอาทิตย์ตกที่ท่าเรือ Desenzano ตรงนี้สามารถนั่งเฟอร์รี่ไปเมืองอื่นๆ รอบทะเลสาบได้ด้วย หรือใครจะจองเรือแบบไพรเวตเฉพาะกลุ่ม เพื่อไปทัวร์วนรอบทะเลสาบก็เป็นประสบการณ์น่าประทับใจ

Sirmione – หมู่บ้านแสนหวานบนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลสาบ

สิ่งที่ทำให้ซีร์มิโยเน (Sirmione) พิเศษกว่าที่อื่น คือมันตั้งอยู่บนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลสาบการ์ดา จนดูเหมือนเมืองลอยน้ำ พอเดินข้ามสะพานเข้ามาในเขตเมืองเก่า สิ่งแรกที่เห็นคือ Castello Scaligero ปราสาทเก่าจากยุคศตวรรษที่ 13 ตั้งตระหง่านราวกับต้อนรับเราเข้าสู่โลกนิทาน

ถนนในซีร์มิโยเนปูด้วยหินโบราณ เต็มไปด้วยร้านเจลาโต้ คาเฟ่เล็ก ๆ และร้านขายของที่ระลึก มีกลิ่นอายโรแมนติกและสงบในแบบของเมืองที่ยังคงความเป็น old world charm

สิ่งที่ห้ามพลาด ได้แก่ Grotte di Catullo ซากโบราณสถานของวิลล่าโรมันจากยุคศตวรรษที่ 1 พร้อมวิวพาโนรามาสุดตระการตา, Terme di Sirmione สปาน้ำแร่ธรรมชาติที่มีชื่อเสียง เหมาะสำหรับคนอยากแช่น้ำร้อนผ่อนคลาย เขาบอกว่าน้ำพุร้อนที่ซีร์มิโยเนมีคุณสมบัติในการรักษาโรคด้วย และ Jamaica Beach คือชายหาดหินธรรมชาติริมทะเลสาบที่เหมาะแก่การนอนอาบแดด หรือนั่งจิบไวน์ชมพระอาทิตย์ตก

Limone sul Garda – หมู่บ้านมะนาวริมหน้าผา

ลิโมเน (Limone) เมืองที่เงียบสงบทางตอนเหนือสุดของทะเลสาบ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะพักผ่อนจริงๆ เคยเป็นแหล่งปลูกมะนาวหลักของภูมิภาคมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนต้นมะนาวกลายเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมือง กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังคงกลิ่นอายนี้ไว้ในอาคารสีเหลืองพาสเทลที่ไต่ตามเนินเขาเหนือทะเลสาบ นักท่องเที่ยวสามารถไปเดินเล่นชิลๆ ในสวนผลไม้ จะได้กลิ่นหอมหวานของมะนาว รวมไปถึงผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ เช่น ส้มและเกรปฟรุต เขาเอามาทำแยมผลไม้ขายในตลาดและร้านค้าในเมือง เหมาะซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก รวมไปถึงน้ำมันมะกอกท้องถิ่น

ส่วนคนที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เขามีเส้นทางเดิน ‘Ciclopista del Garda’ เลียบผาริมทะเลสาบ (หนึ่งในเส้นทางเดินที่สวยที่สุดในอิตาลี) รับรองว่าจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิวสวยๆ ทั้งผ่อนคลายและน่าสนุก

Riva del Garda – ฝั่งเหนือสำหรับสายแอดเวนเจอร์

ริวา เดล การ์ดา เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดด้านเหนือของทะเลสาบการ์ดา และให้บรรยากาศที่แตกต่างจากเมืองทางใต้ มีความอัลไพน์มากกว่า และเหมาะกับคนที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ไฮไลต์ ได้แก่ ปีนเขา, เล่นวินเซิร์ฟ, พายเรือคายัค เที่ยวน้ำตก Varone (Parco Grotta Cascata del Varone) ไปจนถึงเส้นทางเดินเขา Sentiero del Ponale ที่วิวสวยชวนว้าวทุกก้าว

Bardolino – สำหรับคนรักไวน์

บาร์โดลิโนอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบการ์ดา เป็นศูนย์กลางของไวน์แดง Bardolino DOC ที่มีชื่อเสียง และบรรยากาศก็อบอุ่นแบบเมืองชนบทริมทะเลสาบ มีงานไวน์จัดประจำปี (Bardolino Wine Festival) และร้านไวน์ชิมเพียบ! ไฮไลต์คือทัวร์ไร่องุ่น & โรงบ่มไวน์ เดินเล่นริมทะเลสาบในยามเย็น ก่อนจะแวะพิพิธภัณฑ์ไวน์ Museo del Vino Zeni

Lazise – เมืองเก่าที่มีกำแพงล้อมรอบ

ถ้าชอบเมืองเล็กที่ยังคงบรรยากาศยุคกลางเอาไว้ ลาซิเซ (Lazise) จะไม่ทำให้ผิดหวัง เมืองนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองเก่าและมีถนนเล็ก ๆ ที่ชวนให้เดินหลงเล่น ต้องไม่พลาดไปชมปราสาท Scaliger และกำแพงเมือง แวะร้านอาหารริมทะเลสาบที่มี patio สวย ๆ และที่เราชอบมากคือ Thermal park ที่อยู่ใกล้เมือง (Parco Termale del Garda)

สำหรับคนรักอาหาร…

ทะเลสาบการ์ดาขึ้นชื่อเรื่อง ไวน์ขาว Lugana, น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ และปลา freshwater ที่นำมาปรุงเป็นเมนูท้องถิ่น เช่น risotto กับปลาเปิร์ช หรือปลาย่างราดซอสเลมอน กินคู่กับวิวทะเลสาบ

นี่แหละคือรสชาติของฤดูร้อนในอิตาลี ที่บอกได้เลยว่าทะเลสาบการ์ดา คือจุดบรรจบของศิลปะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่หลากหลายในแต่ละเมืองที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

Leave a Reply