ความรู้สึกของเราต่อมิลาน (Milan) เรารู้จักมิลานในฐานะเมืองแฟชั่นและดีไซน์ คนต้องแต่งตัวเก๋ๆ มีดีไซน์สตูดิโออยู่ในหลายหัวมุมถนน มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่อยู่ร่วมกับตึกสไตล์โมเดิร์น และการมามิลานครั้งแรกของเราก็ได้เจอสิ่งเหล่านั้นจริงๆ แต่แถมมาด้วยความรู้สึกว่า มิลานนี่เดินทางง่ายและเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าโรมเยอะเลยแฮะ

เราเพิ่งรู้ว่ามิลานก็มีรถรางด้วย (ไปอยู่ไหนมานะ) ส่วนใหญ่เราจะได้ยินแค่ว่า มามิลานต้องระวังคนล้วงกระเป๋า ซึ่งมิลานก็ทดสอบเราด้วยความเบียดเสียดของคนในรถไฟใต้ดินตั้งแต่วันแรกที่เรานั่งรถไฟมาลงสถานี Milano Centrale เลย คำนี้เขียนเหมือนภาษาฝรั่งเศส ที่อ่านว่า ซองทราล แต่ภาษาอิตาเลียนอ่านว่า เชนตราเล (เราชอบเปรียบเทียบภาษารากละตินแบบนี้ล่ะ สนุกดี)

หลายคนมาที่นี่เพื่อช็อปปิ้ง โดยเฉพาะช็อปแบรนด์เนมละลานตา แต่จะบอกว่ามิลานเต็มไปด้วยสถานที่ทางวัฒนธรรมที่สายอาร์ต สายชิล ก็ต้องเลิฟเช่นกัน ทริปนี้เรามาแจกพิกัดทั้งสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ย่านทันสมัย คาเฟ่เก๋ๆ ร้านอาหารท้องถิ่น ไปจนถึงสวนสาธารณะที่ชวนให้หยุดพัก ทุกมุมของมิลานมีเรื่องเล่า และนี่คือจุดเช็คอินที่เราอยากให้คุณไม่พลาดหากมาเยือนเมืองนี้


10 must-visit places in Milan

1. มหาวิหารดูโอโมแห่งมิลาน (Duomo di Milano)

แลนด์มาร์กของเมืองกับวิหารหินอ่อนโกธิกที่ต้องไปชมให้ได้

แลนด์มาร์กอันดับหนึ่งของมิลานที่ไม่ว่าใครมาเยือนก็ต้องแวะมาก่อนเป็นที่แรก โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่อลังการจนแทบหยุดหายใจ วิหารทำจากหินอ่อนสีขาวอมชมพูแห่งนี้เป็นหัวใจของเมืองและหนึ่งในวิหารที่สวยงามอลังการที่สุดในโลก ตัวโบสถ์ตั้งอยู่บนจัตุรัส Piazza del Duomo รายล้อมไปด้วยชีวิตชีวาของเมืองมิลาน เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่สมบูรณ์แบบทั้งในแง่ของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการถ่ายภาพ

ดูโอโมแห่งนี้ใช้เวลาสร้างนานกว่า 600 ปี เริ่มก่อสร้างในปี 1386 และแล้วเสร็จในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สะท้อนให้เห็นถึงความวิจิตรของงานศิลปะแบบโกธิคที่ซับซ้อนและละเอียดลอออย่างที่สุด ด้วยยอดแหลมกว่า 135 ยอด และรูปปั้นแกะสลักมากกว่า 3,400 รูป ที่ประดับอยู่รอบตัวโบสถ์ ภายในโบสถ์มีทั้ง หน้าต่างกระจกสี (stained glass) ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และ ออร์แกนโบราณ ที่ยังคงถูกใช้ในงานพิธีทางศาสนา ชวนให้สัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของยุคกลางได้อย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในไฮไลต์ที่ห้ามพลาดคือ การขึ้นไปชมวิวบนระเบียงหลังคา (Rooftop Terrace) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินหรือขึ้นลิฟต์ไปชมวิวมุมสูงของมิลานได้แบบพาโนรามา พร้อมได้ใกล้ชิดกับประติมากรรมที่อยู่บนยอดวิหารอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะรูปปั้น Madonnina ซึ่งเป็นพระแม่มารีทองคำบนยอดสูงสุดของโบสถ์ กลายเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของชาวมิลาน


2. แกลเลอเรีย วิตโตรีโอ เอ็มมานูเอลที่ 2 (Galleria Vittorio Emanuele II)

ห้างสุดคลาสสิกใต้โดมกระจก จุดถ่ายรูปสุดปังของสายแฟ

ถัดจากมหาวิหารดูโอโมและเชื่อมไปยังโรงละคร La Scala เราจะผ่านแกลเลอเรียแห่งนี้ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่สุดในอิตาลีและถือเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย เป็นไอคอนของเมืองมิลานตั้งแต่เปิดตัวในปี 1877 ชื่อของแกลเลอเรียตั้งตามชื่อกษัตริย์องค์แรกของอิตาลีที่รวมชาติได้สำเร็จ Vittorio Emanuele II

ด้านในเรียงรายไปด้วยร้านค้าแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง Prada, Gucci, Louis Vuitton และร้านอาหารเก่าแก่ คาเฟ่หรู และบาร์ที่คงไว้ซึ่งกลิ่นอายของมิลานยุคคลาสสิก เช่น Caffè Biffi และ Pasticceria Marchesi

สิ่งที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวคือสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนซองส์ (Neo-Renaissance) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาโดมกระจกทรงแปดเหลี่ยม และทางเดินโค้งยาวปูด้วยโมเสกหินสีสวยงาม ไม่ว่าจะหันมุมกล้องไปทางไหนก็ถ่ายรูปขึ้นทุกองศา มุมแนะนำคือบริเวณใต้โดมกลางซึ่งมีตรารัฐต่างๆ ของอิตาลีฝังไว้

ธรรมเนียมสนุกๆ ที่นักท่องเที่ยวมักไม่พลาด คือการหมุนส้นเท้าขวาบน รูปวัวกระเบื้องโมเสก บนพื้นของแกลเลอเรีย เชื่อกันว่าเป็นการนำโชคและขับไล่สิ่งชั่วร้าย (แม้ว่าคนท้องถิ่นจะขำๆ กับความเชื่อนี้อยู่ไม่น้อย)


3. Pasticceria Marchesi Milano (สาขา Galleria)

ศิลปะแห่งขนมหวานในตำนานกว่า 200 ปีของมิลาน

คาเฟ่และร้านขนมหวานอายุเกือบ 200 ปี ที่กลายเป็นจุดแวะพักของสายกาแฟและนักชิม เพราะเปี่ยมด้วยความสวยงามแบบอิตาเลียนที่มีดีเทลทุกตารางนิ้ว Pasticceria Marchesi กำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1824 เป็นหนึ่งในขนมหวานระดับตำนานของอิตาลีที่คนมิลานภูมิใจนำเสนอ

ร้านนี้โด่งดังเรื่องความพิถีพิถันและการรักษาสูตรต้นตำรับแบบดั้งเดิม ควบคู่กับการออกแบบบรรยากาศร้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหรูหราแบบคลาสสิก ปัจจุบันมีอยู่หลายสาขาในมิลาน แต่ถ้าจะให้แนะนำที่สุด ต้องไปที่ สาขาใน Galleria Vittorio Emanuele II เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ในแกลเลอเรียสวยงามระดับโลกแล้ว บริเวณชั้นบนของร้านมีการออกแบบที่นั่งแบบ salon ให้ความรู้สึกเหมือนห้องรับแขกของขุนนาง มีโคมไฟห้อย แสงธรรมชาติจากหน้าต่างทรงสูง และรายละเอียดเฟอร์นิเจอร์ที่ผสมผสานระหว่างความวินเทจและแฟชั่น แถมยังมีที่นั่งติดกระจกบานใหญ่ มองเห็นพื้นโมเสกด้านล่างของ Galleria แบบมุมสูง สร้างประสบการณ์การจิบกาแฟที่โรแมนติกและมีสไตล์ที่สุด

ในปี 2014 แบรนด์ Marchesi ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือ Prada Group ซึ่งช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของร้านให้มีความหรูหรา สง่างาม และร่วมสมัยมากขึ้น โดยยังคงกลิ่นอายของความดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบร้านยุคใหม่คือทีม สถาปนิกจาก Prada เอง ซึ่งเลือกใช้วัสดุคลาสสิก เช่น ไม้เนื้อเข้ม ผ้าม่านกำมะหยี่ หินอ่อน และกระจกบานใหญ่ ในการตกแต่ง เน้นโทนสีเขียวอ่อน – ทอง – น้ำตาล ที่ชวนให้นึกถึงร้านขนมยุโรปแบบโบราณแต่ปรับให้ร่วมสมัย

ภายในร้านจะมีตู้โชว์กระจกยาวเต็มแนวผนัง จัดวางขนมอย่างประณีตเหมือนงานศิลปะ เพื่อดึงความรู้สึกของ “ขนมชั้นดีที่เปรียบดั่งเครื่องประดับ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ Prada ต้องการนำเสนอ คือ “elegance in the everyday” หรือความงามในชีวิตประจำวัน เพสทรีหลากหลายชนิดมีตั้งแต่เค้กหน้าตาหรูหรา มาการงละลายในปาก โครเกต์เนื้อนุ่ม ไปจนถึงขนมอิตาเลียนดั้งเดิมอย่าง Panettone (ขนมปังคริสต์มาสชื่อดังของมิลาน) และเครื่องดื่มก็รังสรรค์อย่างพิถีพิถัน กาแฟที่นี่มีทั้งแบบคลาสสิกและเมนูพิเศษ รสละมุนทุกแก้ว


4. Castello Sforzesco

ปราสาทโบราณกลางเมืองที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และสวนสวย

เพียงแค่เดินเข้ามาในบริเวณ Castello Sforzesco ก็รู้สึกราวกับก้าวย้อนเวลากลับไปยังยุคกลางของอิตาลี ที่ซึ่งขุนนางผู้มีอำนาจ สงคราม และศิลปะระดับตำนานได้หลอมรวมอยู่ในกำแพงหินสีแดงของปราสาทแห่งนี้ ปราสาทสฟอร์เซสโกสร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 15 โดยราชวงศ์ Visconti แต่สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากการสร้างใหม่ในปี 1450 โดยตระกูล Sforza ซึ่งเป็นหนึ่งในราชวงศ์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุค Renaissance ของมิลาน

สิ่งที่ทำให้ที่นี่พิเศษไม่ใช่แค่ความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมแบบป้อมปราการยุคกลาง หากแต่คือการที่ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ทำงานของศิลปินระดับตำนานอย่าง Leonardo da Vinci ซึ่งมีส่วนร่วมในการตกแต่งภายในหลายส่วน

ปัจจุบัน Castello Sforzesco ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ รวมถึงแกลเลอรี่งานศิลปะ โบราณวัตถุ และเฟอร์นิเจอร์โบราณมากมาย ไฮไลต์คือห้องจัดแสดงผลงานชิ้นสุดท้ายของ Michelangelo – ประติมากรรมที่ยังไม่เสร็จชื่อว่า Rondanini Pietà


5. สวนสาธารณะเซมเปียเน (Parco Sempione)

สวนสาธารณะใหญ่สำหรับเดินเล่น นั่งพัก หรือปิกนิก

สวนสีเขียวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหลังปราสาท Sforzesco จึงเปรียบเสมือน “สวนหลังบ้าน” ของปราสาท และเป็นอีกหนึ่งพื้นที่อันเงียบสงบที่คนมิลานหลั่งไหลมาพักผ่อนในทุกช่วงเวลา

สวนแห่งนี้ถูกออกแบบในสไตล์อังกฤษและสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีแนวคิดให้เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ผสานธรรมชาติเข้ากับโครงสร้างศิลปะและสถาปัตยกรรม ภายในสวนมีทั้งบึงเล็กๆ สนามหญ้ากว้าง ลำธารเล็กๆ และเส้นทางเดินเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ไม่ใช่แค่การเดินเล่นหรือปิกนิกเท่านั้นที่ทำให้ Parco Sempione มีเสน่ห์ แต่คือองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ทั่วพื้นที่ เช่น

  • Arco della Pace (ซุ้มประตูแห่งสันติภาพ): โครงสร้างหินอ่อนสุดอลังการตั้งอยู่ปลายสวนด้านหนึ่ง เป็นแลนด์มาร์กที่งดงามทั้งกลางวันและยิ่งโรแมนติกเมื่อมีแสงไฟส่องยามค่ำ
  • Torre Branca: หอเหล็กสูงที่เปิดให้ขึ้นชมวิวเมืองมิลานแบบ 360 องศาในวันที่อากาศดี
  • Triennale Milano: พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยและการออกแบบ ที่ตั้งอยู่ภายในสวน เหมาะกับผู้ที่สนใจงานดีไซน์อิตาเลียนแบบโมเดิร์น

บรรยากาศของสวนแตกต่างตามช่วงเวลา ตอนเช้าเต็มไปด้วยคนท้องถิ่นมา jogging หรือพาสุนัขเดินเล่น ช่วงบ่าย นักท่องเที่ยวแวะมาพักเหนื่อยจากการเดินชมเมือง และเย็นย่ำ คู่รัก หนุ่มสาว และกลุ่มเพื่อนมานั่งเล่น กินเจลาโต้ หรือชมพระอาทิตย์ตกหลังซุ้ม Arco della Pace


6. Porta Nuova

ย่านสมัยใหม่ของมิลาน กับตึกต้นไม้ Bosco Verticale ที่น่าทึ่ง

ถ้าคิดว่ามิลานคือเมืองแห่งสถาปัตยกรรมเก่าแก่ วิหารหินอ่อน และถนนสายประวัติศาสตร์ ที่มีแต่ความคลาสสิก ลองแวะมาที่ย่าน Porta Nuova ย่านธุรกิจและที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุดของเมือง ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของมิลานยุคใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างยั่งยืน

Porta Nuova ไม่ใช่แค่ “ย่านสมัยใหม่” ธรรมดาๆ แต่เป็นโปรเจกต์ระดับนานาชาติที่รีโนเวตพื้นที่รกร้างกลางเมืองให้กลายเป็นเขตเมืองสีเขียว เต็มไปด้วยอาคารนวัตกรรม งานดีไซน์ร่วมสมัย และแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (urban regeneration)

จุดเด่นที่ห้ามพลาด

Skyline สไตล์มิลาน – ย่านนี้คือจุดชมเมืองในแง่มุมที่ไม่เหมือนใคร เพราะแทนที่จะมองเห็นหลังคากระเบื้องสีแดงแบบอิตาเลียน คุณจะได้เห็นเงาตึกสูงตัดกับท้องฟ้า ฟุตปาธเรียบเนียน และสวนเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างตึก เหมือนฉากในหนังไซไฟแต่อยู่บนพื้นฐานของการใช้ชีวิตจริง

Bosco Verticale (Vertical Forest) – ตึกต้นไม้ที่ปลูกต้นไม้จริงไว้บนระเบียงทุกชั้น กลายเป็นไอคอนของเมืองมิลานและได้รับรางวัลการออกแบบระดับโลก ตัวอาคารเป็นตึกแฝดสูง 80 และ 112 เมตร มีต้นไม้ พุ่มไม้ และพรรณไม้รวมกว่า 900 ต้นปลูกอยู่บนระเบียงทุกชั้น ช่วยลดมลภาวะ สร้างอากาศบริสุทธิ์ และเป็นต้นแบบของ sustainable architecture

Piazza Gae Aulenti – จัตุรัสล้ำสมัยที่รายล้อมด้วยตึกระฟ้า เช่น อาคารสำนักงานใหญ่ของ UniCredit ธนาคารยักษ์ใหญ่ของอิตาลี ที่มีดีไซน์ทรงโค้งคล้ายกระจกสะท้อนแสงแวววาว จัตุรัสแห่งนี้มีทั้งน้ำพุทันสมัย ทางเดินลอยฟ้า และร้านคาเฟ่น่านั่ง

Corso Como และร้าน 10 Corso Como – จากบรรยากาศเมืองสมัยใหม่ สามารถเดินไม่กี่ก้าวไปยังถนนสายแฟชั่น Corso Como ที่มีร้านมัลติแบรนด์หรู คาเฟ่ และแกลเลอรี่ศิลปะที่ได้รับความนิยมจากเหล่าแฟชั่นนิสต้า


7. Porta Magenta

ย่านคลาสสิกของชาวมิลานดั้งเดิม พร้อมร้านคาเฟ่แสนอบอุ่น

อีกหนึ่งย่านที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบโลคอล ถนนสายเล็กที่เรียงรายด้วยตึกสถาปัตยกรรมอิตาเลียนดั้งเดิม อาคารสีอุ่น และร้านค้าเก่าแก่ที่บอกเล่าเรื่องราวของมิลานในอดีต คาเฟ่เก่าแก่ที่เจ้าของจำหน้าลูกค้าประจำได้ และร้านดอกไม้หรือโบสถ์เก่าเล็กๆ ที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้หน้าบ้าน

Porta Magenta เป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางและกลุ่มผู้ดีมิลานดั้งเดิม คาเฟ่ ร้านหนังสือ และบูติกดีไซน์ล้วนแฝงกลิ่นอายของความสงบและความมีระดับแบบอิตาเลียนแท้ๆ บรรยากาศของย่านนี้จึงค่อนข้างเงียบ เป็นระเบียบ และมีความ local-friendly มากกว่าแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของ Pasticceria Marchesi สาขาต้นตำรับด้วย


8. De Santis

Panini แบบอิตาเลียนแท้ๆ จากร้านแซนด์วิชในตำนาน

เมื่อพูดถึงอาหารอิตาเลียน หลายคนอาจนึกถึงพาสต้า พิซซ่า หรือเจลาโต แต่ถ้าได้มาเดินเล่นในมิลาน เมนูที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ Panini แซนด์วิชแบบอิตาเลียนที่มักเสิร์ฟร้อน กรอบนอกนุ่มใน ไส้แน่น และใช้วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมตามแบบฉบับอิตาลีแท้ๆ

Panini ที่ดีไม่ต้องซับซ้อน วัตถุดิบคือหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแฮมเนื้อดีแบบ prosciutto crudo, ชีสหอมมันอย่าง fontina หรือ taleggio, หรือขนมปังแบบ ciabatta หรือ focaccia ที่อบใหม่ทุกวัน เมื่อทุกอย่างมารวมกัน มื้อเล็กๆ นี้จึงกลายเป็นความฟินที่ยิ่งใหญ่

ในบรรดาร้านแซนด์วิชมากมายในเมือง หนึ่งในร้านที่คนมิลานบอกกันปากต่อปากว่า “ต้องลอง” ก็คือ De Santis ร้านแซนด์วิชขนาดกะทัดรัดที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1964 และยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย ตั้งอยู่บนถนน Corso Magenta ย่านคลาสสิกของมิลาน ตัวร้านตกแต่งแบบวินเทจ ด้วยกำแพงไม้และตู้ไวน์ที่ให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้านคนอิตาเลียน บรรยากาศอบอุ่นเหมือน local deli แห่งมิลาน

ความพิเศษคือ เป็นร้านเก่าแก่ที่คงความคลาสสิกของรสชาติไว้กว่า 60 ปี ใช้วัตถุดิบชั้นดี ทั้งแฮม ชีส และขนมปังอบสด เมนูมีแซนด์วิชหลากหลายแบบให้เลือก แต่ละชิ้นปรุงอย่างพิถีพิถันตามสูตรเฉพาะของร้าน แถมยังสามารถปรับแต่งตามใจได้ ไส้ยอดนิยมมีตั้งแต่ แฮมแบบ cured meats ต่างๆ (เช่น prosciutto, speck, mortadella) ไปจนถึงชีสอิตาเลียนรสเข้มข้น ซอสโฮมเมดที่ช่วยเติมมิติของรสชาติ และผักสดหลากชนิด ทุกเมนูทำแบบ “made-to-order” อบขนมปังร้อนๆ ใหม่ทุกชิ้น


9. Navigli

ย่านคลองสุดชิลสำหรับชมพระอาทิตย์ตกและจิบไวน์ยามเย็น

ย่านคลองเก่าแก่ที่กลายเป็นพื้นที่ศิลปะสุดชิคของมิลาน สองฝั่งคลองเรียงรายไปด้วยแกลเลอรี่ ร้านอาหาร บาร์ เหมาะกับการเดินเล่น และก็ขึ้นชื่อเรื่องการนั่งจิบ Aperol Spritz หรือไวน์เบาๆ ในช่วงเย็น บาร์หลายร้านมีบุฟเฟต์อาหารเล็กๆ ให้เลือกตักฟรีเมื่อสั่งเครื่องดื่ม ช่วงพระอาทิตย์ตกคือเวลาที่บรรยากาศโรแมนติกที่สุด

Navigli เคยเป็นระบบคลองที่เชื่อมต่อมิลานกับทะเลสาบและแม่น้ำหลายสาย ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 โดยมีจุดประสงค์เพื่อการพาณิชย์และการคมนาคมภายในเมือง ซึ่งหนึ่งในวิศวกรผู้ออกแบบระบบประตูน้ำให้คลองนี้ก็คือ Leonardo da Vinci ในช่วงศตวรรษที่ 19–20 คลองเหล่านี้ถูกลดบทบาทลงตามยุคอุตสาหกรรม และบางส่วนถูกถม แต่คลองหลักสองสาย Naviglio Grande และ Naviglio Pavese ยังคงอยู่และกลายเป็นย่านศิลปะสุดฮิปที่ใครๆ ก็ต้องมาเยือน

พิเศษ! ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนจะมีตลาด Mercatone dell’Antiquariato ซึ่งเป็นตลาดของเก่าขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยของสะสม นาฬิกา เฟอร์นิเจอร์วินเทจ ฯลฯ


10. Officina 12

ร้านอาหาร + Gin Bar ชื่อดังในย่าน Navigli

ร้านอาหารแนะนำในย่าน Navigli ที่ใส่ใจเรื่องวัตถุดิบและเมนูตามฤดูกาล พาสต้าทำมือ ซีฟู้ดสด และเนื้อย่างบนเตาถ่านคือเมนูแนะนำ สำหรับสายดริงก์ ต้องไม่พลาด Gino12 – Gin Bar แรกของมิลาน ซึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านในร้าน เสิร์ฟจินมากกว่า 100 แบรนด์ พร้อมค็อกเทลสูตรพิเศษที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล

Local Tips และ ข้อควรระวัง สำหรับการเที่ยวมิลาน

Travel Tips สำหรับเที่ยวมิลานแบบโลคอล

  • ลองใช้ Metro หรือ Tram แทนแท็กซี่ เพราะมิลานมีระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมและสะดวกมาก เราใช้บัตรเครดิตจากไทยแตะเข้ารถไฟใต้ดินและรถรางเพื่อจ่ายเงินได้เลย ซึ่งไม่ต้องห่วง ถ้าเราแตะจนถึงราคาตั๋ววันของเขาแล้ว การแตะครั้งต่อไป มันก็จะไม่คิดราคาเพิ่มอีก ประหนึ่งเราซื้อตั๋ว day trip
  • วัฒนธรรมอิตาเลียนเรื่องกาแฟเข้มข้นมาก หลัง 11:00 น. ไปแล้ว ชาวอิตาเลียนแท้จะไม่ดื่ม cappuccino หรือ latte เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มของเช้าเท่านั้น ถ้าอยากดูไม่เป็นนักท่องเที่ยว ให้สั่ง “un caffè” (espresso หนึ่งช็อต) แบบคนท้องถิ่น และดื่มทันทีที่เสิร์ฟ ไม่ปล่อยไว้เย็น
  • ทริคประหยัดเวลาเข้าคาเฟ่ที่มิลาน คือ ซื้อกาแฟแบบ al banco (ยืนดื่มที่เคาน์เตอร์) ราคาจะถูกกว่านั่งโต๊ะเกินครึ่ง!
  • คนมิลานนิยมดื่ม aperitivo ตอนประมาณ 18:00–20:00 ซึ่งหลายร้านจะมีเครื่องดื่ม 1 แก้ว + ของกินเป็นบุฟเฟต์เล็กๆ ในราคาเดียว แต่อย่าเข้าใจผิดว่า aperitivo คือโปรเครื่องดื่มถูก เพราะจริงๆ แล้วมันคือช่วงเวลาแห่งการสังสรรค์ก่อนมื้อเย็น ที่ร้านจะเสิร์ฟเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว พร้อมของกินเล่นคุณภาพดี (เช่น antipasti, โคลด์คัท, ชีส หรือพาสต้าเล็กๆ) ชาวมิลานจริงจังกับการเลือกสถานที่ไป aperitivo มากพอๆ กับการเลือกร้านอาหารเย็นเลยทีเดียว
  • ระวังมิจฉาชีพ โดยเฉพาะบริเวณรอบ Duomo ที่อาจมีคนเข้ามาผูกข้อมือให้แล้วเรียกเงิน แล้วก็คอยดูของมีค่าขณะเดินในที่คนเยอะเสมอ เช่น สถานีรถไฟหรือแกลเลอรี่
  • ในรถไฟใต้ดินหรือรถราง (tram) ชาวมิลานจะถือกระเป๋าไว้ข้างตัวหรือด้านหน้าเสมอ เพราะถือว่าเป็นมารยาทและระวังมิจฉาชีพไปในตัว ถ้าคุณสะพายเป้ไว้หลัง อาจถูกมองว่าไม่ระวัง หรือดู “เป็นนักท่องเที่ยวชัดเจน” แต่อย่างไรก็ตามมีคนบอกว่าโจรที่นี่ถูกฝึกมาสำหรับการขโมยของในกระเป๋าคาดเอว หรือกระเป๋าทรงแข็งที่รูดซิปเปิดง่ายๆ ทางที่ดีสะพายกระเป๋าอะไรก็ตาม ให้เอาเสื้อแจ๊คเก็ตคลุมทับไว้ ก็จะช่วยเซฟมากขึ้น
  • ชาวมิลานตรงเวลาและเดินเร็ว: แม้เมืองทั่วไปในอิตาลีจะขึ้นชื่อเรื่องชีวิตสโลว์ไลฟ์ แต่มิลานเป็นเมืองของคนทำงาน การนัดพบควรตรงเวลา ไม่ควรมาเลทเกิน 5 นาที และคุณจะสังเกตว่าคนที่นี่เดินเร็ว คล่องแคล่ว ใส่รองเท้าดี และดูเรียบร้อย ถ้าจะ blend in ลองแต่งตัวเนี๊ยบๆ และพกแว่นกันแดดติดไว้เสมอ
  • มารยาทในร้านอาหาร: ไม่มีน้ำเปล่าฟรี และอย่ารอเช็คบิลนาน น้ำเปล่าที่ร้านจะมีเฉพาะ still หรือ sparkling แบบขวด (ไม่มีน้ำฟรี) ถ้าคุณรอให้พนักงานเอาใบเสร็จมาให้โดยไม่ขอเอง คุณอาจต้องรอไปเรื่อยๆ เพราะวัฒนธรรมที่นี่คือ “ไม่เร่งให้ลูกค้ารีบกลับ” — ถ้าอยากเช็คบิล ให้สบตาแล้วพูดว่า “Il conto, per favore.”

Anya Wan
นักเขียน/นักดนตรี ที่นอกจากเล่นเชลโลแล้ว ยังชอบออกเดินทางคนเดียวอยู่เสมอๆ มิวเซียม ตลาดของเก่า ร้านกาแฟ และเมืองที่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมเก่าแก่คือสถานที่ที่เธอชอบไป

Leave a Reply