Portofino (ปอร์โตฟิโน) คือเมืองในฝันของใครหลายคน เมืองท่าริมชายฝั่งลิกูเรียของอิตาลีที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภาพจำที่เป็นเอกลักษณ์ก็คืออาคารบ้านเรือนสีสันสดใสปลูกไล่เรียงกันบนเนินเขา และมีเรือยอชท์หลายลำจอดเรียงรายอยู่ริมอ่าว

เหล่าเซเลบริตี้ทั่วโลกชอบมาพักผ่อนที่นี่ตั้งแต่ในอดีตแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Elizabeth Taylor, Richard Burton, Kylie Minogue และล่าสุดก่อนที่เราจะไปเยือนได้สัปดาห์เดียว ก็เพิ่งมีการฉลองงานแต่งงานครั้งที่ 3 ของ Kourtney Kardashian และ Travis Barker ที่ Villa Olivetta พร็อพเพอร์ตี้ของ Domenico Dolce และ Stefano Gabbana

มุมจากอ่าว Portofino มองขึ้นไปบนภูเขาเห็น Brown Castle

จากตอนที่แล้ว ที่เราใช้เมืองเจนัวเป็นฐานที่พัก อันที่จริงมันก็มีเมืองริมทะเลใกล้ๆ เจนัวที่เป็นเมืองชาวประมงสวยๆ เต็มไปหมด อย่างเช่น Boccadasse หรือ Nervi ที่เราสามารถนั่งรถไฟหรือรถบัสไปก็ได้ แต่ถ้าจะเอาวิวแบบจัดเต็ม ก็ควรจะจัดเดย์ทริปมาเที่ยว Portofino และ Cinque Terre สักวันสองวันเป็นอย่างน้อย

การเดินทางจากเจนัว (Genoa) มาที่ปอร์โตฟิโน สามารถทำได้ทั้งโดยรถไฟและล่องเรือ (ล่องเรือจะราคาเที่ยวละประมาณ 6-10 euros และใช้เวลาประมาณ 15 นาที)

แต่สำหรับเราเลือกการเดินทางโดยรถไฟ จาก Genova Brignole ไปลงที่สถานีรถไฟที่ใกล้ Portofino ที่สุดก็คือ Santa Margherita Ligure-Portofino ราคาตั๋วรถไฟ 3.9 euros ใช้เวลาประมาณ 30 นาที แล้วต่อรถบัส (จอดรออยู่แถวหน้าสถานีรถไฟเลย) ไปลงสุดสายที่ Portofino ราคาตั๋วเที่ยวละ 3 euros ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซื้อตั๋วรถบัสได้ที่ร้านขายบุหรี่แถวนั้น

ตั๋วรถไฟไป Portofino ซื้อได้ที่ www.thetrainline.com หรือ www.trenitalia.com

หาดแถวๆ Santa Margherita ก็สวยไม่แพ้กัน เราแนะนำให้ใช้เวลาอยู่แถวนี้ก่อนสักพัก เพราะมีร้านอาหารและคาเฟ่ดีๆ เยอะมากด้วย และถ้าใครไม่อยากนั่งรถบัสไปปอร์โตฟิโน ก็สามารถขึ้นเฟอร์รี่จากท่าเรือที่ Santa Margherita Ligure-Portofino ซึ่งก็จะได้ฟีลเก๋ๆ ไปอีกแบบ

หาดที่ Santa Margherita

I found my love in Portofino

ปอร์โตฟิโนเป็นเมืองเล็กๆ มีคนอยู่อาศัยแค่ราวๆ 500 คนเท่านั้น แต่ตามเนินเขาจะมีวิลล่าหรูสุดไพรเวทแอบซ่อนอยู่มากมาย มันเป็นเมืองตากอากาศที่เหมาะมาพักผ่อนหย่อนใจ มาเล่นน้ำทะเล มากินอาหารและพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงในวันหยุด ในขณะที่นักท่องเที่ยวก็สามารถมาเดินชมวิว ชมบรรยากาศ แล้วก็ชิมอาหาร จิบไวน์ มันอาจจะราคาแพงสักหน่อย แต่ถ้านึกภาพเล่นๆ ว่าเราได้ลองมาพักผ่อนสไตล์เซเลบสักวันสองวัน มันก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดี

นอกจากนี้ก็ยังมีร้านขายเจลาโต้ ช็อปแบรนด์เนม LV, Gucci, Hermes, Dior, Dolce & Gabbana มาหมด แล้วก็ร้านขายของที่ระลึก ขายงานฝีมือ ภาพวาด โปสการ์ด รวมทั้งไวน์ท้องถิ่น

จากท่าเรือ Portofino มองขึ้นไปยังเนินเขา จะเห็นป้อมปราการโดดเด่น ที่นั่นคือ Castello Brown เคยเป็นป้อมที่ใช้สำหรับการป้องกันทางทหารตั้งแต่สมัยโรมัน ปัจจุบันทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เราสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวได้ เปิดทุกวัน 10.00-19.00น. ค่าเข้าชม 5 euros ระหว่างทางจะผ่านต้นไม้ดอกไม้สวยๆ มากมาย และยังมองลงมาเห็นวิวปอร์โตฟิโนจากมุมสูง มันฟินจนรู้สึกว่านี่แหละคือความรู้สึก I found my love in Portofino

จากสถานีรถไฟ Santa Margherita Ligure-Portofino ไปยังสถานี Monterosso ใช้เวลา 40 นาที ราคาตั๋ว 8.30 euros

La Dolce Vita ที่หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลก Cinque Terre

หมู่บ้านชาวประมง 5 หมู่บ้านที่เรียกรวมกันว่า ชิงเกว เตเร่ ซึ่งแปลว่า 5 แผ่นดิน ได้แก่ Monterosso, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore มันคือฉากในหนังการ์ตูนเรื่อง Luca แล้วก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่นี่เขาจะเลือกพักในเมืองเจนัว หรือไม่ก็ที่เมือง La Spezia แล้วมาพักผ่อนที่นี่แบบเดย์ทริป

ถ้าปอร์โตฟิโนคือความหรูหรา ชิงเกว เตเร่ ก็คือความชิลแบบที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเมืองริมทะเลเหมือนกันแล้วก็อยู่ไม่ไกลจากกันแต่ฟีลลิ่งต่างกันไปเลย ช่วงที่เราไปคือช่วงเพิ่งจะเริ่มต้นฤดูร้อน นักท่องเที่ยวก็เยอะมากๆ แล้ว คิดว่าถ้าช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ที่เป็นช่วงวันหยุดของชาวยุโรป ที่นี่จะต้องเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบจะไม่มีที่นั่งว่างบนหาดเลยก็ว่าได้ สำหรับนักท่องเที่ยวเอเชีย แนะนำให้มาเที่ยวได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน หรือไม่ก็กันยายนถึงตุลาคม เพื่อจะได้เลี่ยงความแออัด

Cinque Terre ไม่มีช็อปแบรนด์เนม ไม่มีตึกอาคารที่หรูหรา มีแต่บ้านเรือนแล้วก็ร้านค้าของคนท้องถิ่น ผู้คนชอบมานอนอาบแดด เล่นน้ำทะเล พายเรือ หรือแม้กระทั่ง hiking ถ้ามาจากเมืองเจนัวก็ให้เริ่มเที่ยวจาก Monterosso al Mare ก่อน แต่ถ้ามาจาก La Spezia ก็ให้เริ่มจาก Riomaggiore ทุกหมู่บ้านจะเชื่อมกันด้วยท่าเรือและรถไฟที่ตัดผ่านลอดอุโมงค์ภูเขา เวลานั่งรถไฟเลียบไปกับทะเลลิกูเรียแห่งนี้ จะได้เห็นวิวที่สวยงามไม่แพ้การล่องเรือเลย

Monterrosso al Mare (มอนเตรอสโซ อัล มาเร่) มีหาดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 5 หมู่บ้าน ชายหาดเขาเป็นหินและน้ำทะเลก็สีเทอร์ควอยซ์อย่างที่เขาร่ำลือ ใสสะอาดมากๆ ยิ่งเมื่อมองสีของน้ำทะเลที่ตัดกับสีสดๆ ของบ้านเรือนที่ลดหลั่นกันอยู่บนหน้าผาแล้ว จะยิ่งรู้สึกถึงความสวยงามสะดุดตา เราไปนอนเล่นอยู่ที่ Fegina Beach ซึ่งเป็นหาดที่มีความยาวมากๆ ในวันที่แดดแรงเขาจะมีร่มสีสดๆ มากาง แล้วก็มีคนมานอนอาบแดดกันเต็มไปหมดเลย

สำหรับ Corniglia (คอร์นิเลีย) เป็นหมู่บ้านเดียวที่ไม่ได้ติดทะเล เพราะตั้งอยู่บนหน้าผาสูงจากน้ำทะเลถึง 100 เมตร ก็จะเหมาะกับคนที่อยากดูวิวมุมสูงแบบพาโนรามา ในขณะที่ Manarola (มานาโรลา) นั้นสีสวยหวานราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย มีจุดชมวิวที่สวยมากตรงสุดปลายเนินเขา และทางเดินค่อนข้างง่าย เป็นมิตรกับขาขึ้นมานิดนึง เพราะเนินไม่สูงชันมากถ้าเทียบกับหมู่บ้านอื่นๆ โดยเฉพาะ Vernazza (เวร์นาซซา) มันจะมีบางช่วงบางตอนที่ชันมากๆ แต่ก็เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามทีเดียว จนได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่ง Cinque Terre สวยไม่แพ้ที่ Riomaggiore (ริโอมัจจอเร่) ที่แม้จะค่อนข้างเล็กจิ๋วที่สุดในบรรดา 5 หมู่บ้าน แต่เขาก็มีมุมซันเซ็ตที่ป็อปปูลาร์ของเขา เป็นจุดชมวิวเหนือสถานีรถไฟ Via dell’Amore ช่วงที่แสงอาทิตย์สีทองสาดมากระทบสีของบ้านเรือนหลากสีนั่น ทำเอาแทบลืมหายใจ

และนี่คือเสน่ห์ของอิตาเลียน ริเวียร่า ในช่วงต้นฤดูร้อน ที่ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า La Dolce Vita ที่แปลว่า Sweet Life ชีวิตอันแสนหวาน หรือชีวิตชิลๆ ที่ไม่เร่งรีบ มันคืออารมณ์นั้นเลย

Travel Tips

นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วเดินทางใน Cinque Terre แบบรายเที่ยว หรือหากต้องการเที่ยวมากกว่า 3 หมู่บ้าน แนะนำให้ซื้อบัตร Cinque Terre Card Treno เป็นตั๋ววัน ราคา 16 ยูโร ก็จะสามารถขึ้นรถไฟระหว่างหมู่บ้านได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและใช้เป็นบัตรผ่านทางไปยังจุดชมวิวสำคัญๆ ได้ หรือแม้แต่ใช้เข้าห้องน้ำแบบเก็บเงินได้ฟรี บัตรจำหน่ายที่เจ้าหน้าที่จุดขายเท่านั้น ไม่มีขายตามตู้อัตโนมัติ แต่ละหมู่บ้านใช้เวลาเดินทางระหว่างกันโดยรถไฟเพียง 5 นาที

อ่านที่เที่ยวอิตาลีเพิ่มเติม

2 COMMENTS

Leave a Reply